สมชาย เผยส.ว.มีชื่อ กก.สมานฉันท์แล้ว
“สมชาย” เผยส.ว.มีชื่อกก.สมานฉันท์แล้ว รอประธาน-วิปวุฒิเคาะอีกรอบ ชี้หากฝ่ายค้าน ผู้เห็นต่างไม่ร่วมก็ตั้งฟรี
“สมชาย” เผยส.ว.มีชื่อกก.สมานฉันท์แล้ว รอประธาน-วิปวุฒิเคาะอีกรอบ ชี้หากฝ่ายค้าน ผู้เห็นต่างไม่ร่วมก็ตั้งฟรี
กรุงเทพฯ 7 ธ.ค.-ฝ่ายค้านยืนยันไม่ทบทวนเรื่องร่วมกรรมการสมานฉันท์ ชี้ ที่ผ่านมา ข้อเสนอไม่เคยได้รับการตอบสนอง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า ฝ่ายค้านยังคงมติไม่ส่งคนเข้าร่วมเป็นกรรมการสมานฉันท์ และจะยังไม่ทบทวนในเรื่องนี้ ซึ่งจากการพูดคุยกันในพรรคร่วมรัฐบาลและวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองแล้ว เห็นว่าที่ผ่านมาข้อเรียกร้อง ทั้งของฝ่ายค้านและผู้เห็นต่างไม่เคยได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลแม้แต่ข้อเดียว ทั้งเรื่องขอให้นายกรัฐมนตรีลาออก เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หยุดคุกคามประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เท่าที่ดูแล้วเหมือนไม่อยากแก้ จึงทำให้บรรยากาศการสร้างความปรองดองยิ่งแย่ลง ส่วนที่มองว่าหากฝ่ายค้านไม่ร่วม ก็จะขาดบทบาทในส่วนนี้นั้น เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ความจริงฝ่ายค้านเห็นด้วยกับการแก้ไขปัญหาและอยากให้เกิดความปรองดอง และอยากเห็นประเทศเดินไปข้างหน้า แต่เห็นว่าการตอบสนองของรัฐบาลมีปัญหา จึงตัดสินใจไม่เข้าร่วม.-สำนักข่าวไทย
นายกฯ เผยนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ’ในหลวง’ ทรงพระราชทานถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ยันเร่งรัดแจกจ่ายเงินช่วยเหลือให้เร็วขึ้น ย้ำเป็นคนไทยต้องรัก 3 สถาบันหลักของชาติ เตือนชาวบ้านอย่าประมาทโควิด สั่งใช้โดรนตรวจจับได้ถึงบ้านลักลอบไม่ได้
เริ่มแล้วกฎหมายห้ามซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านช่องทางออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม จะบังคับใช้ นับเป็นอีกก้าวของการควบคุมการจำหน่ายสุราของไทย ซึ่งครั้งนี้กฎหมายต้องการปิดช่องทางไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงการซื้อขายง่ายเพียงปลายนิ้วกด
กรุงเทพฯ 7 ธ.ค. กสทช. จับมือเพิ่มเติมกับ ทีโอที ดีแทค ไตรเน็ต สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ตลาดหลักทรัพย์ และเครดิตบูโรต่อยอดพัฒนาระบบ Mobile ID หรือบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงาน กสทช. ได้พัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยรูปแบบบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ “แทนบัตร” หรือMobile ID ร่วมกับ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จและมีการทดสอบทดลองขั้นต้นเรียบร้อยแล้ว ต่อมาสำนักงาน โดย ได้ขยายความร่วมมือเพิ่มเติมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่น ได้แก่ กรมการปกครอง กรมการขนส่งทางบกสำนักงานประกันสังคม กรมสรรพากร บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (CAT) และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัดบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เพื่อนำระบบ “แทนบัตร” หรือMobile ID นี้ ไปพัฒนาต่อและประยุกต์ใช้ภายใต้ภารกิจของแต่ละหน่วยงาน และวันนี้สำนักงาน กสทช. พร้อมแล้วที่จะขยายการทำงานร่วมกันเพิ่มเติมกับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด สถาบันคุ้มครองเงินฝากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เพื่อทำการทดสอบทดลองในระยะ Sandbox อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถให้ประชาชนร่วมทดลองการใช้งานในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2564 กสทช. ได้ร่วมทำงานกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือ เอ็ตด้าและหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณาการกำหนดมาตรฐานของการให้บริการในระยะทดสอบทดลองนี้ด้วย โดยคาดว่าจะเริ่มใช้งาน Mobile ID ในระยะทดสอบได้ภายในไตรมาสที่ 1 ปี2564 นายณัฐวุฒิ ศาสตราวาหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า TOT เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนา Digital ID Platform ของประเทศไทยโดย Mobile ID ถือเป็นหนึ่งทางเลือกที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมควรร่วมกันพัฒนาเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการให้บริการกับผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ การร่วมโครงการนี้ TOT จะสามารถต่อยอดพัฒนาให้ลูกค้า TOT สามารถใช้บริการกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่น ๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ด้วยและมีความเชื่อว่าจะสามารถนำไปพัฒนาการให้บริการของ TOT ในช่องทางออนไลน์ได้มากขึ้น เช่น การซื้อ SIM Card การย้ายค่ายเบอร์เดิมโดยไม่ต้องเดินทางไปที่ศูนย์บริการ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มจุดให้บริการได้ทั่วประเทศโดยใช้ช่องทางออนไลน์ นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่าดีแทคสนับสนุนรัฐบาล และ กสทช. ในการเริ่มพัฒนา “การยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล” ให้ประสบความสำเร็จและใช้งานได้อย่างปลอดภัย ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งการพัฒนาเพื่อความมั่นใจในบริการดิจิทัลของภาครัฐและเอกชน ดีแทคได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) Mobile ID หรือ “แทนบัตร” เพื่อเข้าร่วมในช่วง Sandbox ทดสอบเทคนิค และพัฒนาระบบต่าง ๆ รวมถึงความร่วมมือกับองค์กรอื่น และนำเสนอหลักการสำคัญ เรามุ่งมั่นที่จะผลักดันระบบ Mobile ID ให้ใช้งานได้สมบูรณ์ในบริการต่าง ๆ เพื่อผู้ใช้งานจำนวนมาก และพัฒนาระบบจนมั่นใจในการรักษาทุกธุรกรรมออนไลน์ให้ปลอดภัย ภายใต้กลยุทธ์ทางธุรกิจของดีแทคที่มุ่งสู่ “Digital first” เรามองเห็นโอกาสมากมายสำหรับการให้บริการดิจิทัลที่สะดวกเพิ่มขึ้น และไว้ใจได้ในความปลอดภัยของข้อมูลแก่ลูกค้าของเรา ระบบ Mobile ID จะช่วยให้ลูกค้าดีแทคสามารถลงทะเบียนซิมใหม่หรือรับบริการธุรกรรมอื่น ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล การใช้ระบบMobile ID จะช่วยลดงานที่ซ้ำซ้อนในการยืนยันตัวตนอีกด้วย นางสาวกมลวรรณ ศีลาภิรัติ รองผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก กล่าวว่า DPA เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาDigital ID Platform ของประเทศไทยโดย Mobile ID ถือเป็นหนึ่งทางเลือก ในการให้บริการกับผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยสามารถนำมาช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการให้บริการของ DPA ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นความร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. ที่จะร่วมกันส่งเสริมการใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ การร่วมโครงการนี้ DPA จะดำเนินการพัฒนาระบบให้สามารถเชื่อมต่อกับMobile ID เพื่อต่อยอดพัฒนาให้ลูกค้า DPA สามารถใช้บริการของ DPA ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยในระยะแรกจะเป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับการขอทราบข้อมูลต่างๆผ่านช่องทางออนไลน์ของ DPA และในอนาคตจะขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานอื่นๆ ตามที่สำนักงาน กสทช.ได้ทำความตกลงร่วมมือกันไว้แล้วต่อไป นายถิรพันธุ์ สรรพกิจ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนา Digital ID Platform ของประเทศไทย ซึ่ง Mobile ID นับเป็นนวัตกรรมทางเลือกใหม่สำหรับผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่สำหรับใช้ยืนยันตัวตนแบบไร้สัมผัส ตอบโจทย์ชีวิตวิถีใหม่ New Normal ของคนไทย โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้สามารถเชื่อมต่อกับ Mobile ID ของสำนักงาน กสทช. เพื่อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในตลาดทุนและประชาชนให้ทำธุรกรรมได้อย่างปลอดภัย สะดวก และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ให้ตลาดทุนเกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน “SET…Make it Work for Everyone” ทั้งนี้ในระยะแรกจะเป็นการ อำนวยความสะดวกสำหรับการให้บริการเปิดบัญชีลงทุน และในอนาคตจะขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานอื่น ๆ ตามที่สำนักงาน กสทช. ได้ทำความตกลงร่วมมือกันไว้แล้วต่อไป นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) กล่าวว่า บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนา Digital ID Platform ของประเทศไทย โดย Mobile ID จะสามารถนำมาช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการให้บริการของเครดิตบูโร ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นความร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. ที่จะร่วมกันส่งเสริมการใช้นวัตกรรมใหม่ ๆในการให้บริการกับลูกค้าของเครดิตบูโร การร่วมโครงการนี้ เครดิตบูโร จะดำเนินการพัฒนาระบบให้สามารถเชื่อมต่อกับMobile ID เพื่อต่อยอดพัฒนาให้ลูกค้าของเครดิตบูโรสามารถ ใช้บริการ ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยในระยะแรกจะเป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับการขอตรวจสอบเครดิตสำหรับรายย่อย และในอนาคตจะขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานอื่นๆ ตามที่สำนักงาน กสทช. ได้ทำความตกลงร่วมมือกันไว้แล้วต่อไป-สำนักข่าวไทย.
ทำเนียบฯ 7 ธ.ค.-คณะกรรมการเฉพาะกิจฯ เตรียมเสนอนายกฯ ขยายต่อวีซ่านักท่องเที่ยวเพิ่มเป็น 45 วัน จากเดิม 30 วัน คาดดึงนักท่องเที่ยวเพิ่ม ด้านอธิบดีกรมควบคุมโรค ให้ความมั่นใจ จ.เชียงใหม่ เชียงราย ปลอดภัย ท่องเที่ยวได้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณามาตรการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ ร่วมกับตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการต่างประเทศ ในประเด็นการติดตามสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 จากผู้ลักลอบเข้าประเทศจากอำเภอแม่สาย จ.เชียงราย รวมถึงมาตรการผ่อนคลายให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าประเทศ ในรูปแบบของวีซ่า เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ภายหลังการประชุมฯ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้พบตัวเลขผู้ติดเชื้อจากผู้ลักลอบเดินทางเข้าประเทศทั้งหมด 32 ราย โดย 2 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ เนื่องจากมีประวัติสัมผัสใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้มีมาตรการคุมเข้มและสอบสวนโรค หากพบผู้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีประวัติสัมผัสใกล้ชิด จะต้องกักตัว 14 วัน ขณะที่ สมช.ได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง ทหาร และผู้ว่าราชการจังหวัด […]
นครศรีธรรมราช 7 ธ.ค. – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัย จ.นครศรีธรรมราช ว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามเร่งรัดโครงการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาตามลำดับ แต่ก็ยังไม่ทัน เพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ จำเป็นต้องขอความร่วมมือการทำประชามติ แม้รัฐบาลจะออกกฎหมายและเวนคืนที่ดินไปแล้ว แต่ปัญหาคือประชาชนบางส่วนไม่ยอมรับ ดังนั้น จึงต้องขอความร่วมมือสื่อมวลชนช่วยกันบอกกล่าวด้วย เพื่อไม่ให้คนข้างนอกมาเคลื่อนไหว จนทำให้คนในพื้นที่เสียประโยชน์ พร้อมฝาก ส.ส.ที่วันนี้ (7 ธ.ค.) มาทั้งพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าทำงานร่วมกับรัฐบาล จึงต้องช่วยกัน ส่วนการเร่งรัดแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่จะทันเวลาหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ก็เร่งรัด ต้องดูว่าอะไรที่ปรับแผน และหาเงินเพิ่มได้ก็จะทำให้ ทุกอย่างมีแผนอยู่แล้ว และศึกษามาอย่างละเอียด ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ใช้เงินจากกระทรวงเพียงอย่างเดียว แต่มีงบกลางที่จะเติมให้ หากขาดหรือปรับเปลี่ยนโครงการไม่ได้ นี่คือการทำงานของรัฐบาลปัจจุบันและ 2 รัฐบาลมาแล้ว .- สำนักข่าวไทย
กกต. 7 ธ.ค.-“พ.ต.อ.จรุงวิทย์”แจงตั้ง คกก.ไต่สวนคณะก้าวหน้าทำตัวคล้ายพรรคการเมือง เหตุกฎหมายกำหนดเป็นโทษทางอาญา ไม่ตอบผิดกระทบผู้สมัครหรือไม่ อ้างต้องดูข้อเท็จจริงก่อน พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงการตรวจสอบการเคลื่อนไหวของคณะก้าวหน้าที่เข้าลักษณะคล้ายพรรคการเมือง ว่า เรื่องนี้มีโทษทางอาญา กกต.จึงต้องตั้งคณะกรรมการไต่สวน กำลังรวบรวมข้อมูลหลักฐานอยู่ เมื่อได้ครบถ้วนแล้ว ก็ต้องมาพิจารณาว่ามีความผิดตามประเด็นข้อกฎหมายหรือไม่ ซึ่งมีกระบวนการตามขั้นตอนการไต่สวนสอบสวน ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าหากว่าเข้าข่ายผิด จะกระทบถึงตัวผู้สมัครหรือไม่ เพราะยังต้องดูข้อเท็จจริงก่อน.-สำนักข่าวไทย
กกต. 7 ธ.ค.-กกต.เข้มจับทุจริตเลือกตั้ง อบจ.ต้านทุจริต ผนึก มท.สั่งกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านให้ข้อมูลคนซื้อเสียง เผยมีเก็บบัตรประชาชนแล้ว นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นประธานประชุมผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัด และชุดเคลื่อนที่เร็วที่เป็นตำรวจ ทั้ง 76 จังหวัดผ่านระบบการประชุมทางไกล (Gin Conference) เพื่อชี้แจงแนวทางการบูรณาการการทำงานร่วมกัน การส่งรายงานเพื่อประกอบการพิจารณาผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) โดยมี พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. และผู้บริหารสำนักงานฯ เข้าร่วม พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวว่า ประธาน กกต.บัญชาการให้มีการบูรณาการการทำงานเลือกตั้งร่วมกันทุกจังหวัดในแต่ละจังหวัดหลังจากนี้ ชุดเคลื่อนที่เร็วและผู้ตรวจการเลือกตั้งจะมีการประชุมร่วมกันเพื่อวางแผน ปฏิบัติหน้าที่ และลงพื้นที่พบกับผู้ใหญ่บ้านตามที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ใหญ่บ้านแต่ละหมู่บ้านในแต่ละจังหวัดให้ความร่วมมือเรื่องการให้ข้อมูลคนทุจริตซื้อเสียง เพราะเป็นผู้ปกครองในพื้นที่ตามกฎหมายย่อมรู้ความเคลื่อนไหวในหมู่บ้าน หากต้องมีการจับกุมตรวจค้น กกต.จังหวัดสามารถขอหมายศาลและชุดเคลื่อนที่เร็วเข้าค้นได้ แต่ถ้าพบว่ากำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีการปกปิด ก็จะมีการประสานกระทรวงมหาดไทยเพื่อดำเนินการ ซึ่งเหลืออีก 12 วันจะถึงวันเลือกตั้ง ยังไม่พบการหาเสียงผิดกฎหมาย แต่ก็มีความเข้มข้นขึ้น “ประธาน กกต.ตั้ง 4 ประสานต้านทุจริต คือ ผู้ตรวจการเลือกตั้ง ชุดเคลื่อนที่เร็วที่เป็นตำรวจ กำนัน […]
กทม. 7 ธ.ค.63 – 4 ผลงานไอเดียคนไทย ได้รับมอบรางวัล Thailand Open INNOvation 2020 ซึ่งเปิดเวทีให้คนไทยแสดงศักยภาพ และความสามารถด้านเทคโนโลยี ที่เปิดโอกาสทางธุรกิจ ที่ได้นวัตกรรมใหม่เพื่อสังคมในยุคนิวนอร์มอล กระทรวงกิจการภายในประเทศและการสื่อสาร ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ประกาศและมอบรางวัลงาน “Thailand Open INNOvation 2020” ในโครงการ INNOvation บ้า-กล้า-คิด โดยได้เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไป นำเสนอไอเดียแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนด้วยไอเดียที่ แปลกแหวกแนว เกิดนวัตกรรมและวิถีชีวิตแนวใหม่ (New Normal) ซึ่งสนับสนุนผู้มีความคิดสร้างสรรค์พร้อมความมุ่งมั่นพัฒนา เปลี่ยนแปลง ต่อยอด บ่มเพาะวัฒนธรรม ยอมรับในความหลากหลาย ขับเคลื่อนชุมชนไปสู่สังคมดิจิทัลและยกระดับแวดวง ICT โดยปีนี้เป็นปีแรกที่ประเทศญี่ปุ่นได้ขยายโครงการรับสมัครเข้ามาที่ประเทศไทยและยังเป็นประเทศแรกในอาเซียนในสาขาส่งเสริมความท้าทายและมุ่งแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (Disruptive Behavior) และ สาขาสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์จากผู้ประกอบการใจดี (Generation Award ) โดยได้รับการตัดสินและสนับสนุนเงินรางวัลจากสองหน่วยงานใหญ่ คือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ส่งมอบรางวัลกันข้ามประเทศ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้คนไทยมีความกระตือรือร้นที่จะริเริ่มความคิดสร้างสรรค์ ทั้งยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหน่วยงานเอกชนไทยได้เล็งเห็นโอกาสและศักยภาพของโครงการนี้ ในการเป็นส่วนหนี่งที่จะช่วยผลักดันและขับเคลื่อนกำลังคนภายในประเทศให้สามารถก้าวสู่สังคมดิจิทัลและเป็นที่ยอมรับได้ในระดับสากล โดยในปีนี้มีผลงานทั่วโลกส่งไอเดียเข้ามาร่วมประกวด กว่า 18,000 ไอเดีย โดยในประเทศไทยมีผู้ส่งไอเดียจำนวนทั้งสิ้น 254 ไอเดีย แบ่งเป็นสาขา Disruptive Behavior จำนวน 57 ไอเดีย และสาขา Generation Award จำนวน 197 ไอเดีย ซึ่งมีผลงานของคนไทยที่ได้รับรางวัลชนะในสาขา Generation Award จำนวน 4 ไอเดีย ดังนี้ 1.ตะเกียบวัดอุณหภูมิ2.แคปซูลเย็น แคปซูลร้อน 3.การใช้คลื่นเสียงผลักน้ำฝน และ4. A program that applies to elderly nursing care online services for Thai/Asia People who can speak Japanese ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ผลงานฝีมือคนไทยในงาน Thailand Open INNOvation 2020 ภายใต้โครงการ INNOvation บ้า-กล้า-คิด เป็นที่น่าภูมิใจที่ประชาชนไทยสามารถแสดงศักยภาพและความสามารถด้านเทคโนโลยีผ่านการร่วมส่งไอเดียด้านเทคโนโลยีเข้าประกวดในโครงการนี้ ซึ่งรู้สึกประทับใจและขอบคุณในการยกระดับความร่วมมือของประเทศญี่ปุ่น จากความสัมพันธ์ลักษณะนักลงทุน และ สถานที่ลงทุน กลายเป็นพันธมิตรร่วมค้นหาเมล็ดพันธุ์ไอเดียที่จะนำไปพัฒนาต่อให้เกิดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจให้กับทั้งสองประเทศ ดร.เปาว์ ศรีประเสริฐสุข ผู้จัดการฝ่ายนวัตกรรม ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาระบบนิเวศด้านนวัตกรรมของประเทศไทย ช่วยจุดประกายให้คนไทยกล้าคิด กล้าสร้างสรรค์ และก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ นำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ในที่สุด ทั้งนี้สามารถคิดคามดูรายละเอียดเพิ่มเติมโครงการ INNOvation บ้า-กล้า-คิดได้ทาง https://www.inno.go.jp/th/ .-สำนักข่าวไทย
เพชรบุรี 7ธ.ค.63 – กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เปิดโครงการเสริมศักยภาพเครือข่าย ทสม. เขียนโครงการและการเข้าถึงแหล่งทุนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการเสริมศักยภาพเครือข่าย ทสม. ในการเขียนโครงการและการเข้าถึงแหล่งทุนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่จัดขึ้นโดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่ โรงแรมโกลเด้น บีช ชะอํา อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี พร้อมทำความเข้าใจกับเครือข่ายทสม. จ.เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และสมุทรสงคราม รวม 200 คน เข้าร่วมโครงการ นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า เครือข่าย ทสม. มีบทบาทและเป็นกลไกเชิงพื้นที่ในการดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชนท้องถิ่น ร่วมกับกระทรวงฯ มาเป็นอย่างดีและต่อเนื่องมาตลอด โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ได้มอบนโยบายการทำงานแบบ ทส. ยกกำลัง 2 บวก 4 ที่เน้นการทำงานที่มีเป้าหมายชัดเจนและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงควบคู่กับการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนซึ่งเป็นการยกระดับการทำงานด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเชิงรุกมากขึ้น โดยเครือข่าย ทสม. กว่า 242,000 คน ทั่วประเทศจะปรับบทบาทหน้าที่ของตนเองให้เป็น ทสม. วิถีใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของทั้ง 3 จังหวัด เน้นการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ด้วยวิธีที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เช่น การสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่นในพื้นที่ จ.เพชรบุรี การเรียงหินใหญ่กันคลื่น ในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นในพื้นที่ จ.สมุทรสงคราม การสร้างปะการังเทียมให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลเพิ่มขึ้น รวมทั้งการส่งเสริมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง ด้วยการคัดแยกก่อนทิ้ง โดยนำหลักการ 3Rs ใช้น้อย ใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้เพื่อสร้างแรงจูงใจ มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่เครือข่าย ทสม. กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำกรอบแนวทางการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมโครงการขนาดเล็ก วงเงิน 500,000 บาท เพื่อให้เครือข่าย ทสม. เขียนโครงการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมในประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญสอดรับกับนโยบายรัฐบาลและสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การจัดการไฟป่าและลดหมอกควันในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ และ 2.โครงการส่งเสริม โคก หนอง นา โมเดล และการทำเกษตรกรรมยั่งยืน ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า โครงการเสริมศักยภาพเครือข่าย ทสม. ในการเขียนโครงการและการเข้าถึงแหล่งทุนด้านทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เครือข่าย ทสม. ในการเข้าถึงแหล่งทุน และจัดทำข้อเสนอโครงการ เพื่อรับการสนับสนุนงบประมาณ โดยให้ความรู้ในเรื่องแหล่งทุน และการจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนสิ่งแวดล้อม และเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นส่วนสร้างให้ชุมชน ประชาชนมีทุนเสริมการดูแลทรัพยากรในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น .-สำนักข่าวไทย
กทม. 7 ธ.ค. 63 – เจโทร กรุงเทพฯ จัดโครงการ Thailand-Japan Collaboration on JETRO Robot Automation Project ส่งเสริมอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และออโตเมชั่นในประเทศไทย องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) จัดโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และออโตเมชั่น ผ่านเว็บไซต์ และงานสัมมนา Thailand-Japan Collaboration on JETRO Robot Automation Project เพื่อช่วยส่งเสริมและขยายตลาดอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ มุ่งหวังตอบสนองนโยบาย Thailand 4.0 และช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและภาคบริการ โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัตกรรมต่างๆโดยมีบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งโครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ในการเป็นหน่วยงานกลางเชื่อมประสานความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างไทยและญี่ปุ่นให้กับผู้ประกอบการทั้งสองประเทศ นายอัทสึชิ ทาเคทานิ ประธาน เจโทร กรุงเทพฯ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นที่มีแรงดึงดูดสูงเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ญี่ปุ่นก็สูงเป็นอย่างมาก โดยโครงการที่จะเกิดขึ้นจะได้สัมผัสกับคุณประโยชน์และประสบการณ์การใช้หุ่นยนต์และออโตเมชั่นต่างๆ จากโครงการนี้ โดยมี 3 โครงการหลัก ได้แก่ 1.การจัดทำเว็บไซต์รวบรวมข้อมูลผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และออโตเมชั่นเพื่อแนะนำให้ผู้ประกอบการไทยรู้จัก 2.การจัดงานสัมมนา “Thailand-Japan Collaboration on JETRO Robot Automation Project” ที่จะเผยแพร่ข้อมูลสถานการณ์อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ในปัจจุบันรวมถึงการพัฒนาบุคลากรในด้านที่เกี่ยวข้อง ในวันพุธที่ 16 ธันวาคม 2564 และ 3.ผลสำรวจอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และออโตเมชั่น นอกจากนี้ยังเชิญชวนผู้ประกอบการไทย เข้าร่วมงานเจรจาธุรกิจที่จะจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเจโทร กรุงเทพฯ หวังว่างานเจรจาธุรกิจนี้จะสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการพัฒนาและขยายธุรกิจ รวมถึงแก้ปัญหากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดร.ลัษมณ อรรถาพิช รองเลขาธิการสายการลงทุนและการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า เทคโนโลยีหุ่นยนต์และออโตเมชั่นเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น สกพอ. หวังว่าโครงการนี้จะสามารถพัฒนาและสร้างโอกาสทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นในการพัฒนาเทคโนโลยี โดย สกพอ.พร้อมจะสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และออโตเมชั่นในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC อย่างไรก็ตาม เจโทร มั่นใจว่าโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ จากทั้ง 3 โครงการ จะเพิ่มมูลค่ากระบวนการผลิตรูปแบบใหม่และสร้างแบบจำลองโลจิสติกส์ต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการผลักดันการใช้หุ่นยนต์ให้แพร่หลายมากขึ้นรวมถึงช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศดำเนินต่อไปอย่างแน่นแฟ้นมากยิ่งกว่าเดิมโดยสามารถติดต่อสอบถามเกี่ยวกับโครงการฝ่ายอุตสาหกรรมการผลิต สำนักงานเจโทร กรุงเทพฯ .-สำนักข่าวไทย