กรุงเทพฯ 3 ก.ย.- ผอ.สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ เผยผลคาดการณ์ปริมาณฝนจากแบบจำลอง พบฤดูฝนนี้อาจมีพายุเคลื่อนเข้าไทย 1-2 ลูก ในเดือน ก.ย.-ต.ค. แต่มั่นใจไม่เกิดน้ำท่วมใหญ่เหมือนปี 2554 เนื่องจากปริมาณฝนตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันน้อยกว่า รวมทั้งลมแปซิฟิกเหนือมีกำลังแรง คาดฤดูหนาวจะเริ่มต้นเร็ว ตลอดจนการบริหารจัดการน้ำภายใต้ กอนช. ดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ
ดร.สุทัศน์ วีสกุล ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. กล่าวว่า สสน.ใช้แบบจำลองสภาพอากาศคาดการณ์ปริมาณฝนรายปี แล้วใช้ข้อมูลปริมาณฝนตกที่วัดได้จริงมาคำนวณ เพื่อคาดการณ์ฝนรายเดือน ประกอบกับการติดตามอุณหภูมิผิวน้ำทะเลและมหาสมุทรที่ล้อมรอบประเทศไทย พบว่า สภาพอากาศปี 2565 คล้ายปี 2552 จึงคาดว่า ในเดือนกันยายน-ตุลาคม จะมีฝนมากกว่าค่าปกติ โดยเฉพาะในภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมถึงจะมีพายุเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย 1-2 ลูก ในเดือนกันยายน-ตุลาคม โดยมีแนวโน้มจะเคลื่อนตัวมาตามแนวร่องมรสุมที่จะพาดผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางตอนบนในช่วงนี้
ส่วนความกังวลของประชาชนที่ว่า ช่วงที่พายุเข้าสู่ไทยจะทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่เหมือนปี 2554 หรือไม่ อีกทั้งยังเป็นปีที่มีสภาวะลานีญาเช่นเดียวกัน ซึ่งมีอิทธิพลให้ฝนตกชุก ดร.สุทัศน์ กล่าวว่า ในปี 2554 มีพายุที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรงถึง 5 ลูก แต่ในปีนี้คาดว่าจะมี 2 ลูกดังกล่าว ส่วนสภาวะลานีญาที่เกิดขึ้นในปีนี้ ทำให้ฝนตกเร็วตั้งแต่ต้นปี โดยตกหนักในภาคใต้ แต่ปริมาณฝนที่ตกทางตอนบนของประเทศ ตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม แม้มากกว่าค่าปกติ แต่ยังต่ำกว่าปี 2554 โดยเฉพาะภาคเหนือที่มีฝนตกน้อยกว่า อีกทั้งน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ คือ เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ยังมีน้ำน้อยกว่ามาก ซึ่งพร้อมรองรับน้ำฝนที่จะตกมาเพิ่มได้อย่างเพียงพอ
สำหรับค่าปกติปริมาณฝนของไทย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 30 ปี พบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม มี 977 มิลลิเมตร โดยปี 2565 มี 1,171 มิลลิเมตร ซึ่งมากกว่าค่าปกติ 194 มิลลิเมตร ส่วนปี 2554 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีปริมาณฝน 1,237 มิลลิเมตร ซึ่งมากกว่าค่าปกติ 260 มิลลิเมตร โดยตกในภาคเหนือ แล้วเกิดน้ำท่วมใหญ่ภาคกลาง นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบกับปี 2560 ซึ่งเป็นอีกปีที่มีฝนชุกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้วเกิดน้ำท่วม ซึ่งมีปริมาณฝน 1278 มิลลิเมตร ปี 2565 ก็ยังมีปริมาณฝนน้อยกว่า
ล่าสุดพายุไต้ฝุ่น “หินหนามหน่อ” ที่ก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก ปัจจุบันกำลังเคลื่อนตัวทางทิศเหนือ โดยคาดว่าจะขึ้นฝั่งบริเวณประเทศจีนฝั่งตะวันออก ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ แม้ไม่มีอิทธิพลต่อประเทศไทยโดยตรง แต่มีอิทธิพลให้ความกดอากาศสูงถูกเหนี่ยวนำลงมาดันแนวร่องมรสุมลงมาพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างซึ่งจะทำให้มีฝนตกหนักในสัปดาห์หน้า อีกทั้งแนวลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่ก่อนหน้านี้จะพัดขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ แต่กลับพัดปะทะเข้ากับแนวภาคใต้ฝั่งตะวันตกโดยตรง ทำให้ฝนตกในภาคใต้มากขึ้น จนทำให้มีน้ำท่วมขังบางพื้นที่ ดังเช่นใน จ.ภูเก็ต
นอกจากนั้น จากการติดตามดัชนีสมุทรศาสตร์บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ (Pacific Decadal Oscillation : PDO) พบว่า ลมแปซิฟิกเหนือมีกำลังแรง ซึ่งอาจทำให้ฤดูหนาวเริ่มต้นเร็ว เมื่อฤดูหนาวมาจะทำให้ฝนลดลง
อีกประการที่สำคัญสำหรับน้ำท่วมปีนี้ที่จะไม่ท่วมเหมือนปี 2554 คือ การบริหารจัดการน้ำฝนและน้ำท่าอย่างเป็นระบบดีขึ้นอย่างมาก โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทำงานภายใต้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) นำการคาดการณ์สภาพอากาศไปเร่งพร่องน้ำในเขื่อนต่างๆ รวมทั้งประสานให้นำเครื่องมือ ทั้งเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ ไปติดตั้งเตรียมความพร้อมล่วงหน้า และจะตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าที่ให้หน่วยงานทำงานร่วมกัน โดยไม่ต่างคนต่างทำเหมือนก่อน จึงมั่นใจได้ว่า จะบริหารจัดการน้ำตามหลักวิชาการให้กระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด รวมถึงจะไม่มีการระบายน้ำเหนือปริมาณมากในห้วงเวลาติดต่อกัน จนทำให้เกิดอุทกภัยรุนแรงเหมือนปี 2554.-สำนักข่าวไทย