กรุงเทพฯ 1 มี.ค.-บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เผย กำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 10,218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปี 2563 ปัจจัยสนับสนุนหลักจากปริมาณขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและการลงทุน 2 โครงการใหม่ในสหรัฐอเมริกา บอร์ดไฟเขียวนำเสนอผู้ถือหุ้นพิจารณาปันผลครึ่งปีหลัง 3.25 บาท/หุ้น
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในปี 2565 เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งต่อยอดความสำเร็จในธุรกิจไฟฟ้า โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ในขณะเดียวกัน ได้เร่งขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภค และธุรกิจ Smart Energy Solution มั่นใจจะสร้างผลดำเนินการที่ดีต่อเนื่องจากปี 2564 ที่รายได้รวมจากการดำเนินงาน 42,093 ล้านบาท โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 10,218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปี 2563 ส่วนกำไรสุทธิ 4,104 ล้านบาท ลดลง 4,629 ล้านบาท หรือคิดเป็น 53% เนื่องจากมีผลกระทบหลักจากการแปลงมูลค่าหนี้สินสกุลเงินต่างประเทศเป็นสกุลเงินบาทซึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาท และจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรม (Fair value) ของเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งทั้ง 2 รายการเป็นการรับรู้ผลกระทบตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น ไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและการดำเนินงาน
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการบริษัทวานนี้( 28 ก.พ.) ยังย้ำนโยบายรักษาการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นและจ่ายเงิน ปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยมีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 3.25 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 14 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 เมษายน 2565 หากรวมการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 3.25 บาท จะเป็นการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานสำหรับงวดบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2564 รวมหุ้นละ 6.50 บาท
นายเทพรัตน์ กล่าวว่า ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ความผันผวนทางเศรษฐกิจ เอ็กโก กรุ๊ป ยังคงมีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง มียอดขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ได้แก่ โรงไฟฟ้าไซยะบุรี โรงไฟฟ้าซานบัวนาเวนทูรา โรงไฟฟ้าเคซอน และจากอัตราค่าไฟฟ้าและไอน้ำต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าสตาร์ เอนเนอร์ยี่ โรงไฟฟ้าซาลักและโรงไฟฟ้าดาราจัท รวมทั้งยังรับรู้กำไรจากโครงการใหม่ในสหรัฐอเมริกา 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน และเอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง
ในปี 2564 เอ็กโก กรุ๊ป มีการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเน้นเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและการต่อยอดพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจ โดยมีความสำเร็จสำคัญ คือ การขยายการลงทุนในสหรัฐอเมริกา 2 โครงการ ได้แก่ การซื้อหุ้นในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ “ลินเดน โคเจน” และการซื้อหุ้นใน “เอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง” ที่เป็นผู้นำการพัฒนา การขาย และการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โครงการพลังงานสะอาดในสหรัฐอเมริกา การลงทุนในกิจการสตาร์ทอัพ “เพียร์ พาวเวอร์” เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มบล็อกเชนซื้อขายพลังงาน ตลอดจนการได้รับใบอนุญาตเป็น “ผู้จัดหาและนำเข้าแอลเอ็นจี” เพื่อบริหารต้นทุนเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้าในกลุ่มเอ็กโกอย่างมีประสิทธิภาพ
ในขณะเดียวกันยังได้ต่อยอดพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจ โดยร่วมกับ กฟผ. และราช กรุ๊ป จดทะเบียนจัดตั้ง “อินโนพาวเวอร์” เพื่อยกระดับงานวิจัยนวัตกรรมสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์ และการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเทคโนโลยี Solid Oxide Fuel Cell (SOFC) กับ กฟผ. Bloom Energy และ ATE เพื่อพัฒนาการใช้ไฮโดรเจนมาผลิตไฟฟ้า ที่จะช่วยสนับสนุนการลดคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศไทยและการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ไฮโดรเจน เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ให้สำเร็จ .-สำนักข่าวไทย