กรุงเทพฯ 6 พ.ค. – หุ้น DITTO เปิดเทรดวันแรกที่ 18 บาท เพิ่มขึ้น 10.50 บาท (+140%) จากราคาขาย IPO ที่ 7.50 บาท/หุ้น
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)เปิดเผยว่าmaiยินดีต้อนรับ บมจ. ดิทโต้ (ประเทศไทย) เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มเทคโนโลยี โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า“DITTO”ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2564
DITTO ประกอบ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจจำหน่ายและให้บริการระบบบริหารจัดการเอกสาร 2.ธุรกิจให้เช่า จำหน่าย และให้บริการด้านเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์ และสินค้าเทคโนโลยีอื่น ๆ และ 3.ธุรกิจรับเหมาวิศวกรรมด้านเทคโนโลยีสำหรับโครงการของหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นในโครงการที่มีเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม (Innovation) และเป็นเทคโนโลยีเฉพาะทาง เช่น ระบบท้องฟ้าจำลองและพิพิธภัณฑ์ ระบบโทรมาตร ระบบเทคโนโลยีภายในอาคาร และโครงการประเภทอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
นายฐกร รัตนกมลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DITTO กล่าวว่า การระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้ขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ โดยวางแผนขยายศูนย์กระจายการให้บริการครอบคลุมในจังหวัดที่มีศักยภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งหน่วยงานราชการและเอกชนได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการให้บริการบริหารจัดการเอกสารและข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล เช่น การแปลงเอกสารกระดาษเป็นข้อมูลดิจิทัล จัดทำสารบัญข้อมูลให้ง่ายต่อการค้นหา การนำข้อมูลจัดเก็บในระบบบริหารจัดการเอกสารหรือระบบจัดการข้อมูลขององค์กร เป็นต้น เพื่อให้นำไปใช้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และจะลงทุนพัฒนาระบบบริหารจัดการเอกสารเพื่อให้บริการบนระบบคลาวด์ในรูปแบบ Software as a Service (SaaS) หรือบริการด้านซอฟต์แวร์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงระบบบริหารจัดการเอกสารจากทุกที่ผ่านระบบคลาวด์ โดยไม่ต้องใช้งบลงทุนพัฒนาระบบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์เอง ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้อย่างสม่ำเสมอจากลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการซอฟต์แวร์ดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของผลประกอบการได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะรักษาการเติบโตให้สอดคล้องไปกับตลาดการจัดการข้อมูลดิจิทัลที่มีทิศทางขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ของ DITTOเป็นภาครัฐ 70 % และภาคเอกชน 20%และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) 10 %โดยมองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต
ขณะที่ ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ที่ยังไม่ได้ส่งมอบ รวม 447 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจจำหน่ายและให้บริการระบบบริหารจัดการเอกสารและข้อมูล, ธุรกิจ ให้เช่า จำหน่าย และให้บริการด้านเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์ และสินค้าเทคโนโลยีอื่นๆ จำนวน 275.38 ล้านบาท และธุรกิจ รับเหมาวิศวกรรมด้านเทคโนโลยีสำหรับโครงการของหน่วยงานราชการต่างๆ จำนวนรวมราว 172 ล้านบาท ล่าสุดต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ได้มีการเซ็นต์สัญญากับกรมที่ดิน ในการเก็บข้อมูลโฉนดจำนวน 3 ล้านแปลงแล้ว
สำหรับผลประกอบการปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 114.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 102.95% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 56.27 ล้านบาท และบริษัทยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยที่ประมาณ 23-25% โดยคาดว่าปี 2564 บริษัทจะรักษาระดับผลประกอบการเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาประมาณ 20 – 30 % . – สำนักข่าวไทย