กรุงเทพฯ 26 ก.ย.-นายกฯ ยืนยันความมุ่งมั่นของไทยในการสนับสนุนสหประชาชาติ เพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 03.30 น.ของไทย ซึ่งตรงกับเวลา 16.30 น.ของวันที่ 25 กันยายน 2563 ตามเวลาท้องถิ่นนครนิวยอร์ค สหรัฐฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถ้อยแถลงในการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 75 ภายใต้หัวข้อหลัก “อนาคตที่เราอยากเห็น องค์การสหประชาชาติที่เราต้องการ : ตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านพหุภาคี-เผชิญหน้ากับโรคโควิด-19 ผ่านแผนงานความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพ” ทางระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปีนี้โลกต้องประสบกับวิกฤติด้านสาธารณสุขจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ดังนั้นทุกประเทศต้องเชื่อมั่นในเรื่องของความร่วมมือระหว่างกัน พร้อมส่งกำลังใจไปยังทุกประเทศทั่วโลกให้ประสบความสำเร็จในการรับมือกับโควิด-19 ทั้งนี้รัฐบาลไทยมุ่งมั่นและตั้งใจยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศ โดยจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยดำเนินมาตรการตามหลักของกฎอนามัยระหว่างประเทศ ค.ศ.2005 และแนวทางขององค์การอนามัยโลก รัฐบาลสนับสนุนแผนพัฒนาวัคซีนโรคโควิด-19 โดยเห็นว่าวัคซีนและยาสำหรับรักษาโรคโควิด-19 ควรต้องเป็นสินค้าสาธารณะระดับโลกที่ทุกประเทศได้รับสิทธิในการเข้าถึงอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งสหประชาชาติจำเป็นต้องมีบทบาทนำในเรื่องนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการดูแลและเยียวยาทางเศรษฐกิจ โดยจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ เพื่อเป็นกลไกหลักในการกำหนดนโยบายร่วมกันระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมอย่างรอบด้าน ไทยได้ดำเนินนโยบาย “หยุดโควิด แต่ไม่หยุดเศรษฐกิจไทย” พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า Bio-Circular-Green Economy (BCG) โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายกรัฐมนตรี ขอบคุณองค์การอนามัยโลกที่ให้การยอมรับว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถรับมือกับเชื้อโควิด-19 ได้ดีที่สุดในโลก ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยสามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเป็นประเทศต้นแบบ คือ การมีเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ในการพัฒนาระบบสาธารณสุขของไทยให้มีความเข้มแข็งผ่านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุม ซึ่งไทยพร้อมแบ่งปันประสบการณ์และความร่วมมือกับนานาประเทศ
นายกรัฐมนตรี แสดงความชื่นชมเลขาธิการสหประชาชาติที่สนับสนุนให้รัฐสมาชิก ตระหนักถึงความร่วมมือเพื่อให้ทุกประเทศสามารถก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปด้วยกันอย่างยั่งยืน และสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปในบริบทของความท้าทายใหม่ ๆ ไทยยึดมั่นต่อพันธกรณีระหว่างประเทศ และเคารพหลักการพื้นฐานของกฎบัตรสหประชาชาติ ตลอดจนสนับสนุนบทบาทของสหประชาชาติในทั้ง 3 เสาหลัก ได้แก่ สันติภาพและความมั่นคง การพัฒนา และสิทธิมนุษยชน
โดยในด้านสันติภาพและความมั่นคง สหประชาชาติและประชาคมโลกประสบความสำเร็จในการพยายามระงับความขัดแย้งโดยสันติวิธี นอกจากไทยจะให้ความสำคัญกับการลดอาวุธ ไทยยังส่งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และพลเรือน ทั้งชายและหญิงเข้าร่วมภารกิจเพื่อสันติภาพในกรอบสหประชาชาติในภูมิภาคต่าง ๆ ตั้งแต่ปี 2501 และยังคงบทบาทนี้ไว้ท่ามกลางวิกฤติในปัจจุบัน
ด้านการพัฒนา การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การบรรลุเป้าหมายล่าช้า ดังนั้นเราจะต้องทำงานหนักและส่งเสริมความร่วมมือให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รวมทั้งมุ่งใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนา ซึ่งไทยจะใช้เวทีระหว่างประเทศต่าง ๆ แบ่งปันแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน และด้านสิทธิมนุษยชน ข้อตกลงและกฎหมายระหว่างประเทศได้กำหนดหลักการและพันธกรณีเกี่ยวกับการปกป้องสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม ธรรมาภิบาล และการให้ความสำคัญต่อกลุ่มเปราะบาง สำหรับไทยได้จัดทำแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นฉบับที่ 4 และนำมาปฏิบัติแล้ว
นายอนุชา กล่าวว่า ช่วงท้ายนายกรัฐมนตรี ยืนยันความมุ่งมั่นของไทยในการสนับสนุนวาระต่าง ๆ ของสหประชาชาติ ทั้งในด้านสันติภาพ ความมั่นคง การพัฒนา การจัดการกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การยึดมั่นในสิทธิมนุษยชน และการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เพราะระบบพหุภาคีเป็นหนทางที่จะนำพาให้หลุดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ไปได้ร่วมกัน เพื่อสร้างอนาคตที่มีสันติสุข และเพื่อโลกที่น่าอยู่สำหรับพวกเราและชนรุ่นหลังต่อไป.-สำนักข่าวไทย