กทม. 27 ม.ค.-แม่มณี และพวก ให้การปธิเสธ คดีลวงเหยื่อ 2,533 คน ร่วมออมเงิน เล่นแชร์ เสียหายกว่า 1.3 พันล้าน
ศาลอาญา นัดสอบคำให้การคดีพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.วันทนีย์ ทิพย์ประเวช หรือเดียร์เจ้าของวงแชร์ “แม่มณี”, นายเมธี หรือบอส ชิณภา ,นายปิยะ หรือเป้ คีรีสุวรรณกุล, น.ส.พรสวรรค์ หรือฝ้าย ภูอินอ้อย , น.ส.ธวัลรัตน์ ทิพย์ประเวช(มารดา น.ส.วันทนีย์), น.ส.วิไลวรรณ หรือมิ้น หงษ์ประชาทรัพย์, น.ส.นิตยา หรือโบว์ พินนอก, นายบริภัทร เข็มรัตน์ และนายปิยะเศรษฐ์ ธิโสภา เป็นจำเลยที่ 1-9 ในความผิดฐาน ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน(ตามกฎหมายพิเศษ) ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน(ตามป.อาญา) และร่วมกันนำเข้ามูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งศาลนัดสอบคำให้การวันนี้ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้เบิกตัวแม่มณี และพวกรวม 9 มาจากทัณฑสถานหญิงกลาง และเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ศาลได้สอบถามจำเลยทั้ง 9 คน ทั้งหมดให้การปฎิเสธ
คดีนี้ อัยการฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 มี.ค.-30 ต.ค.62 น.ส.วันทนีย์ จำเลยที่ 1 และ น.ส.พรสวรรค์จำเลยที่ 4 ได้โพสต์เฟซบุ๊กให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมออมเงินหรือร่วมลงทุนกับจำเลยที่ 1, 4 กับพวก โดยจะได้ผลตอบแทนมากกว่าปกติเป็นพิเศษ ซึ่งมีแผนการตลาดหรือรูปแบบการลงทุนจัดแบ่งออกเป็นวงแชร์จำนวนการลงทุนวงละ 1,000 บาท จะได้รับผลตอบแทน 930 บาท ต่อหนึ่งวง เมื่อครบกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ลงทุนหรือวันที่ฝากเงินมายังบัญชีที่พวกจำเลยแจ้ง โดยผู้ลงทุนจะได้รับเงินที่ลงทุนพร้อมผลตอบแทนกลับไปจำนวนวงแชร์ละ 1,930 บาท
ต่อมา จำเลยที่ 1, 4 กับพวก ได้เปลี่ยนเป็นการลงทุนระยะสั้นดังนี้ โดยลงทุน 400 บาท ได้รับผลตอบแทน 100 บาท เมื่อครบกำหนด 7 วัน โดยจะได้รับคืนเป็นเงิน 500 บาท, ลงทุน 400 บาท ได้รับผลตอบแทน 150 บาท เมื่อครบกำหนด 12 วัน จะได้รับคืนเป็นเงิน 500 บาท, เป็นต้น ความจริงแล้วจำเลยที่ 1, 4 กับพวก ไม่ได้จัดให้มีการออมเงินหรือร่วมลงทุนโดยได้รับผลตอบแทนดังกล่าวแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นอุบายหลอกผู้เสียหายรวม 2,533 ราย
ภายหลังจำเลยที่ 1, 4 ได้ร่วมกันกระทำความผิดแล้ว จำเลยทั้ง 9 คน ได้บังอาจร่วมกันฉ้อโกงหลอกลวงประชาชนให้ร่วมลงทุนกับจำเลยทั้งหมด จะได้ผลตอบแทนมากกว่าปกติเป็นพิเศษดังกล่าว โดยออกอุบายวางแผนการตลาดต่างๆ หลายครั้ง อ้างว่า จะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ร่วมลงทุนสูงกว่าดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้ ตั้งแต่อัตราร้อยละ 1,116-3,040.45 ต่อปี เป็นต้น กับรู้อยู่แล้วว่าตนไม่สามารถประกอบกิจการใดๆ ได้จริงตามที่ประกาศลวง และพฤติการณ์อื่นๆ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ รวมเสียหายทั้งสิ้น 1,376,215,359 บาท ขอให้ศาลลงโทษสถานหนัก และศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐาน ทั้งสองฝ่าย วันที่ 9 มี.ค.นี้เวลา13.30 น..-สำนักข่าวไทย