กรุงเทพฯ 5 ต.ค. – แม่ทองสุกมองทองคำโลกยังขาขึ้น อานิสงส์เศรษฐกิจชะลอตัวจากสงครามการค้า คาดสิ้นปีแตะ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนทองไทยมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 23,000 บาท
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก กล่าวในงาน “Thailand next step 2020 อ่านเกมขาด รับศักราชใหม่” ภายใต้หัวข้อ “Money Next Step” ว่า ราคาทองคำตั้งแต่ต้นปีมีการปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 10 % และมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นถึง 15 % เทียบกับปีที่ผ่านมา จากปัจจัยของสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ การปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จากเดิมจะขึ้นดอกเบี้ยช่วงต้นปีเป็นปรับท่าทีลดดอกเบี้ยตั้งแต่เดือน 4 เป็นต้นมา และเฟดก็ปรับลดดอกเบี้ยในรอบกว่าทศวรรษเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และล่าสุดจะเห็นได้ถึงการปรับลดนโยบายของดอกเบี้ยของเฟดที่ผ่านมาครั้งที่ 2 ในช่วง 17-18 กันยายน ทำให้นโยบายดอกเบี้ยหลักอยู่ที่ 1.75% และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง เห็นได้จากการอ่อนแอของเศรษฐกิจจีน ญี่ปุ่น รวมถึงยุโรป
ทั้งนี้ MTS Gold มองว่าสงครามการค้าจะยืดเยื้อต่อเนื่องจนสิ้นปีหรือปีหน้า โดยมองว่าราคาทองมีโอกาสทะลุ 1,548 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ภายใต้เงื่อนไขหากการเจรจาการค้ากับสหรัฐจีนไม่สามารถตกลงกันได้ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ธนาคารกลางยุโรปมีการอัดฉีดเม็ดเงิน 20,000 ล้านยูโร และอังกฤษยังเผชิญกับ Brexit ช่วงปลายเดือนตุลาคม รวมถึงความไม่แน่นอนของการลงทุนในตลาดหุ้นก็จะน่าจะยังมีอยู่
สำหรับทิศทางทองคำมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นมีโอกาสถึง 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในช่วงสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนอาจจะพบการแกว่งตัวของราคาทองคำตลอดเวลา ซึ่งเป็นทั้งจังหวะและโอกาสในการเข้าซื้อหรือขาย ในส่วนของราคาทองคำไทยจะมีแนวรับสำคัญ 21,600 บาทต่อบาททองคำ และมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 23,000 บาทต่อบาททองคำได้ในช่วงสิ้นปี ขณะที่ค่าเงินบาทน่าจะไม่แข็งค่าหลุดระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยไม่ได้ดีไปกว่าเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเทียบค่าเงินดอลลาร์กับค่าเงินบาท ซึ่งเงินบาทจะมีการแข็งค่าลงมาอย่างรวดเร็วมากกว่าสภาวะเศรษฐกิจจริง ๆ ของประเทศ
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล ผู้อำนวยการอาวุธโส ฝ่ายที่ปรึกษาบริหารเงินลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมา 5 วันทำการนั้น มองว่านักลงทุนมีความคาดหวังว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่แย่จะนำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดปลายเดือนนี้ ซึ่งจะผลักดันการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยระยะสั้น ๆ คาดเป้า SET ปีนี้ 1,780 จุด โดยประเด็นที่ควรติดตาม คือ ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐเกี่ยวกับการจ้างงานที่จะประกาศออกมาคืนนี้ รวมถึงการแถลงการณ์ของประธานเฟด น่าจะสะท้อนมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐและแนวโน้มดอกเบี้ย นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการประท้วงที่ฮ่องกงที่ยังดูมีความรุนแรงและยืดเยื้อ แนะนำนักลงทุนเลือกสินทรัพย์ให้เหมาะกับความสามารถและประสบการณ์ของตนเอง เข้าใจผลตอบแทน รวมถึงความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือใช้การออมแบบ DCA ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงจังหวะการลงทุน เพื่อบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างวินัยการลงทุน
นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในหุ้น กล่าวว่า โค้งสุดท้ายของปียังมีปัจจัยลบมากมีโอกาสที่หุ้นจะปรับตัวลงแรงจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยสดใส โดยปีที่แล้วตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงถึง 10% ถ้าปีนี้ตลาดหุ้นติดลบอีก เชื่อว่าปีหน้าจะเป็นปีที่สดใส ซึ่งนาทีนี้ต้องมีเงินสดบ้าง หากหุ้นปรับตัวลงแรงจะได้เข้าไปรับได้ ขณะเดียวกันต้องมีหุ้นด้วย เพราะปัจจุบันหุ้นให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากหรือพันธบัตร ซึ่งมองว่าการที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลง คือ โอกาสเข้าไปลงทุนและต้องลงทุนในหุ้นที่ปลอดภัย บริษัทใหญ่ผลประกอบการแน่นอนมีปันผลสม่ำเสมอไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปี เป็นหุ้นที่เหมาะแก่การลงทุน . – สำนักข่าวไทย