พรรคอนาคตใหม่ 22 เม.ย.-“ปิยบุตร” ขอ กกต.พิจารณาการโอนหุ้นของ “ธนาธร” ด้วยความเป็นธรรม เชื่อไม่โดนใบส้ม
นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ตอบคำถามสื่อมวลชนภายหลังการแถลงข่าวว่ามีความกังวลว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะประวิงเวลาในการตรวจสอบเรื่องการโอนหุ้น จนไม่สามารถรองรับสถานะ ส.ส.ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ได้ในวันที่ 9 พฤษภาคม หรือไม่ ว่า หากพิจารณาด้วยจิตใจเป็นธรรม เมื่อเห็นหลักฐานการโอนหุ้นในวันที่ 8 มกราคม 2562 เห็นแค่นี้ต้องมีมติทันทีแล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีมูล จากหลักฐานต่าง ๆ ครบถ้วนและไม่มีเหตุผลอื่นที่ต้องตั้งคณะกรรมการช่วยตรวจสอบ นอกจากนี้การที่คณะกรรมการดังกล่าวไปขอหลักฐานตามหน่วยงานที่ปรากฎออกมาเป็นข่าว แต่ผู้ถูกกล่าวหากลับยังไม่ได้รับโอกาสชี้แจง ทั้งที่เรื่องนี้ควรจบไปตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งเราต้องขอความเป็นธรรมในการนำเอกสารหลักฐานจากทั้ง 2 ฝ่ายเข้ามาพิจารณาด้วย
ส่วนหาก กกต.มีมติออกมาเป็นใบส้ม จากกรณีการโอนหุ้น พรรคอนาคตใหม่จะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายปิยบุตร กล่าวว่า เรามั่นใจว่า กกต.เป็นธรรม เช่นเดียวกับเอกสารหลักฐานทั้งหมด ปัญหาคือ ที่ผ่านมามีสื่อบางสำนักเสนอข่าวนี้อยู่ฝ่ายเดียว เนื้อหาข้อเท็จจริงก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่พาดหัวคนละแบบกันในแต่ละวัน จนคนสับสนว่าเรื่องนี้คือเรื่องอะไร แต่เราก็แน่ใจว่าจะไม่ถูกใบส้มอะไรทั้งสิ้น
นายปิยบุตร กล่าวถึงกรณี ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือ ผู้กองปูเค็ม เข้ายื่นหนังสือถึง กกต.เพื่อขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติการถือหุ้นบริษัทของว่าที่ ส.ส.และสมาชิกพรรคการเมือง เนื่องจากยังถือครองหุ้น บริษัทที่จดทะเบียนประกอบธุรกิจด้านสื่อสารมวลชน ว่า ที่มีบุคคลไปยื่นเรื่องให้ กกต.กรณีขอให้ตรวจสอบผู้สมัคร ส.ส. หรือว่าที่ ส.ส.กว่า 30 คน ทั้งหมดนั้นเป็นนักการเมืองของพรรคการเมืองที่ผนึกกำลังต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทั้งสิ้น ซึ่งขอให้พิจารณาว่าผู้ยื่นมีเจตนาแบบใด หากคุณเป็นนักตรวจสอบมืออาชีพ ทำไมถึงไม่ตรวจสอบพรรคที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช.ด้วย
“ข้อกฎหมายที่ไปยื่นกันในมาตรา 98 วรรค 3 และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 42 (3) เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามการถือหุ้นสื่อ ข้อความระบุว่า ห้ามผู้สมัคร ส.ส.เป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้น ของกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นใด หมายถึงการประกอบกิจการเหล่านี้จริง ๆ แต่ทุกวันนี้ที่มีการตรวจสอบกัน คือ ไปเอาหนังสือบริคณห์สนธิที่ผู้สมัคร ส.ส.ไปดูสัก 1 วงเล็บว่ามีข้อไหนที่ระบุว่าทำกิจการสื่อมวลชนบ้าง หากมีข้อนั้น ก็ไปร้องเรียนทันที ขอเรียนว่า กฎหมายมาตรานี้ ต้องเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อ หรือหนังสือพิมพ์จริง ๆ จะดูเฉพาะหนังสือบริคณห์สนธิไม่ได้ เพราะหนังสือบริคณส์สนธิเหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็ไปเอาตัวอย่างมาจากแบบฟอร์ม ตามมาตรฐานของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งแบบฟอร์มดังกล่าว จะเขียนวงเล็บไว้เต็มไปหมด หนึ่งในนั้น คือ การทำกิจการเรื่องสื่อด้วย แต่ในทางปฏิบัติ บริษัทต่าง ๆ ก็ไม่ได้ทำธุรกิจสื่อ แต่ในหนังสือเขียนเอาไว้เท่านั้นเอง อย่างกรณีที่มีสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ทำบริษัทรับเหมาก่อสร้าง แต่ศาลฎีกาก็ตัดสินคดีดังกล่าว โดยไม่ได้เปิดโอกาสให้เราเข้าไปชี้แจงในศาล แต่เมื่อคำพิพากษาเกิดขึ้นแบบนี้แล้ว จึงเปิดโอกาสให้กลุ่มคนที่ชอบร้องเรียน เข้าไปร้องเรียนกันเต็มไปหมด ซึ่งการตีความกฎหมายมาตรานี้ ต้องตีความว่าบริษัทนั้น ๆ ทำสื่อจริง ๆ ไม่ใช่ไปร้องเรียน ต้องระวังโดนใบส้ม จนจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ พรรคสืบทอดอำนาจก็ต้องระวังจะโดนบ้าง มีคนอีกฝ่ายไปร้องเรียนบ้าง ระวังเดี๋ยวจะตั้งไม่ได้เหมือนกัน อย่าใช้ช่องทางเหล่านี้ จนทำให้การเมืองเดินต่อไม่ได้ ผมเชื่อว่าผู้สมัคร ส.ส.แต่ละท่านคงเตรียมการมาอย่างดีสำหรับข้อกฎหมายนี้ ฝ่ายกฎหมายแต่ละพรรคก็ตรวจสอบแน่นอน” นายปิยบุตร กล่าว.-สำนักข่าวไทย