สำนักข่าวไทย 10 พ.ย. – แบงก์ชาติเลื่อนบังคับใช้เกณฑ์คุมสินเชื่อบ้านเป็น เมษายน 2562 โดยผ่อนปรนบ้านหลัง 2 แต่เข้มบ้านหลัง 3 วางดาวน์ 30% ชี้ผลกระทบในภาพรวมมีจำกัด
หลังจากที่มีการเปิดรับฟังความเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และ มีผู้ให้ความเห็นจำนวนมาก นายจาตุรงค์ จันทรังษี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้สรุปหลักเกณฑ์การกำกับดูแล คือ การวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ หรืออัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) สำหรับสัญญากู้ที่อยู่อาศัยหลังแรก และราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท เกณฑ์ไม่เปลี่ยนแปลง โดยผู้กู้จะต้องวางเงินดาวน์ 5% สำหรับบ้านจัดสรร หรือทาวน์เฮาส์ ส่วนคอนโดมิเนียม ดาวน์ 10% หรือธนาคารอาจจะปล่อยกู้เต็มจำนวนก็ได้ หากธนาคารสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้ตามเกณฑ์ของ ธปท.
ส่วนผู้ที่ผ่อนที่อยู่อาศัยพร้อมกัน 2 หลังขึ้นไป ถ้าผ่อนชำระหลังแรก ตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป จะต้องวางเงินดาวน์ 10% สำหรับหลังที่ 2 แต่หากผ่อนชำระหลังแรกยังไม่ถึง 3 ปี หรือกู้ซื้อที่อยู่อาศัยราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องวางดาวน์ 20%
ส่วนผู้ที่ผ่อนที่อยู่อาศัยหลังที่ 3 ขึ้นไป กรณีผ่อนสัญญาอื่นๆ ยังไม่หมด ต้องวางเงินดาวน์ 30 ในทุกระดับราคา (ยกเว้นการกู้เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยบนที่ดินของตนเอง) ส่วนการนับรวมสินเชื่อ Top-up ในวงเงินที่ขอกู้ จะนับรวมสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ทุกประเภท ที่อ้างอิงหลักประกันเดียวกันในวงเงินที่ขอกู้ เช่น สินเชื่อตกแต่งบ้าน แต่จะยกเว้นสินเชื่อที่ใช้ชำระเบี้ยประกันชีวิตผู้กู้และประกันวินาศภัย และสินเชื่อที่ให้กับธุรกิจ SMEs เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการรายย่อย
โดยจะเริ่มใช้บังคับกับสัญญากู้ซื้อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 เป็นต้นไป โดยจะยกเว้นกรณีที่มีสัญญาจะซื้อจะขายก่อนวันที่ 15 ตุลาคม 61 เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยหรือผ่อนดาวน์อยู่ก่อนแล้ว
นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ในแต่ละปี มีสินเชื่อปล่อยใหม่ประมาณ 100,000 บัญชี โดยกว่าร้อยละ 90 เป็นการให้สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกและราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากเกณฑ์การกำกับดูแลใหม่นี้ โดยมีเพียง 6% ที่เป็นสัญญากู้ที่อยู่อาศัยหลังที่สามขึ้นไป และราคาเกิน 10 ล้านบาท ส่วนอีก 7% เป็นการกู้สัญญาที่สองราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ดังนั้นผลกระทบจึงอยู่ในวงที่จำกัด
สำหรับการปรับปรุงเกณฑ์ในครั้งนี้เพื่อดูแลไม่ให้เกิดดีมานด์เทียมหรือการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะฟองสบู่ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดวิกฤตของวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดทั่วโลก และเพื่อให้ประชาชนที่ต้องการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยให้สามารถซื้อบ้านได้ในราคาที่เหมาะสม
เรามีข้อมูลจากต่างประเทศ มาเปรียบเทียบให้ดูว่า การกู้เพื่อซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียมแต่ละประเทศ มีหลักเกณฑ์การวางเงินดาวน์ มากน้อย แตกต่างกันอย่างไรบ้าง เช่น สิงคโปร์ จะต้องวางเงินดาวน์ 25-65% เพิ่มขึ้นตามจำนวนหลังที่ผ่อน, ฮ่องกง ต้องวางเงินดาวน์ 40-70% ขึ้นกับราคาบ้าน กู้เพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อลงทุน แหล่งรายได้ของผู้กู้ และเกาหลีใต้ ต้องวางเงินดาวน์ 30–70% โดยการวางดาวน์จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนหลังที่ผ่อน และโซนที่อยู่อาศัย .- สำนักข่าวไทย