กรุงเทพฯ 17 ก.ย. –รัฐ-เอกชนหนุนเอสเอ็มอี บุกตลากต่างประเทศ แนะทำประกันความเสี่ยงส่งออก ทำความคุ้นเคยด้านภาษา กำหนดกลยุทธผูกใจลูกค้า เผยกลุ่มเกษตรต้องปรับตัว เพราะเพื่อนบ้านนำพันธุ์ “ เงาะ มังคุด ทุเรียน” ไปปลูกและได้สิทธิจีเอสพี แข่งขันตลาดส่งออกไทย
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “โอกาสและความสำเร็จในการดำเนินธุรกิตต่างประเทศ” ว่า ธุรกิจขนาดใหญ่เมื่อส่งออกสินค้าไปต่างประเทศมูลค่าร้อยล้านพันล้านส่วนใหญ่ประกันความเสี่ยงจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการค้า เพราะถือว่าเป็นต้นทุนไม่สูงมากนัก และไม่ต้องเสียเวลาในการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าในต่างประเทศ เนื่องจากมีผู้ดูแลให้
ดังนั้น จึงแนะนำผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ความสำคัญกับการทำประกันความเสี่ยงจากการค้า และเอ็กซิมแบงก์ก็ให้ความสำคัญกับการประกันความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น นอกจากการปล่อยสินเชื่อสำหรับผู้ส่งออกและนำเข้า และเชิญผู้ส่งออกทำประกันการส่งออก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นยืนยันการได้รับเงินอย่างแน่นอนเพื่อค้าขายกับเพื่อนบ้าน เพราะหากส่งสินค้า 1 ชิ้บเม้นท์(SHIPMENT) วงเงิน 5 แสนบาท จ่ายค่าธรรมเนียมเพียง 1,500 บาทเท่านั้น นับว่าเป็นต้นทุนถูกมาก
นอกจากนี้เอ็มซิมแบงก์ยังร่วมมือกับกรมการค้าต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ บีโอไอ กระทรวงการต่างประเทศ ช่วยประสานข้อมูลดูแลผู้ส่งออก โดยเฉพาะผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ รวมทั้งยังเตรียมออกผลิตภัณฑ์ส่งเสริมเอสเอ็มอีบุกตลาดแอฟฟริกา รัสเซีย ตะวันออกกลาง โดยเสนอให้รัฐชดเชยค้ำประกันในบางส่วน ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมเสนอกระทรวงการคลังการพิจารณา เพื่อส่งเสริมให้เอสเอ็มอีขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้น
นายเนวิน สินสิริ ผู้อำนวยกาารสำนักความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน(NEDA) กล่าวว่า นักลงทุนประเทศเพื่อนบ้านรู้ภาษาไทยเป็นอย่างดี เพราะฟังวิทยุ ดูทีวีจากไทย การเจรจาต่อรองจึงได้เปรียบนักธุรกิจไทย ขณะที่คนไทยฟังภาษาเพื่อนบ้านไม่ได้เลย ดังนั้น หากต้องการเจรจาธุรกิจได้อย่างมั่นใจต้องเข้าถึงเข้าของกิจการผ่านภาษาพื้นเมืองให้ได้ หรือหาพันธมิตรที่ไว้ใจในการตกลงทางธุรกิจ รวมทั้งยังต้องช่วยเหลือทางสังคมกับประเทศคู่ค้า เพื่อมัดใจเมื่อประสบปัญหาไม่ใช่หวังนำกำไรกลับประเทศอย่างเดียว นับว่าการค้าของประเทศเพื่อนบ้านยังขยายตัวได้ดีถึงร้อยละ 7-8 ต่อปี
นายนิยม ไวยรัชพาณิชย์ รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สินค้าเกษตร เช่น เงาะ มังคุด ทุเรียน ซึ่งมีชื่อเสียงจากไทย เริ่มถูกนำออกไปปลูกใน สปป.ลาว เวียดนาม แล้วส่งออกแข่งขันกับไทย ได้เปรียบด้านภาษี เช่น เมื่อส่งไปจีน ได้รับสิทธิ์จีเอสพี เพราะเสียภาษีเพียงร้อยละ 5 ขณะที่ส่งออกไปจากไทยต้องเสียภาษีนำเข้าร้อยละ 15 การส่งออกผลไม้ สินค้าเกษตรไปยังจีนจึงต้องปรับตัว และหากต้องการบุกตลาดเพื่อนบ้านต้องเรียนรู้ประสบการณ์การค้าชายแดนให้มั่นใจเจาะตลาดเข้าไปในประเทศ เพราะต้องใช้กลยุทธหลากหลายในการเข้าถึงผู้ประกอบการ แต่ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงกฎหมายของประเทศคู่ค้า
นายนิยม กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลเร่งพัฒนาเขตเศรษฐกิจแม่สอด จ.ตากและจ.สระแก้ว เพื่อให้เป็นเขตเศรษฐกิจนำร่องนับว่าเป็นสิ่งที่ดี จึงต้องการเสนอให้รัฐบาลพิจารณาผ่อนปรนเปิดให้รถบรรทุกของเมียนมาร์ หรือกัมพูชาผ่านชายแดน เพื่ออำนวยความสะดวกขนส่งสินค้ามายังเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพราะหากไม่ปล่อยเข้ามา เอกชนไทยต้องขนออกไปส่งอีกทอดหนึ่ง
“ เพียงแก้ไขกฎเกณฑ์จะทำให้คล่องตัวมากขึ้น และทำให้คลังสินค้าตามชายแดนเกิดขึ้นฝั่งไทยจำนวนมาก ควรผ่อนปรนการอนุญาติเข้ามาพักอาศัยชั่วคราว 7 วัน พักถาวร 14 วัน เพราะหากไม่แก้ไขข้อกำหนดเหล่านี้ ความเจริญจะเกิดขึ้นฝั่งตรงข้ามกับเขตเศรษฐกิจของเพื่อนบ้านมากกว่าไทย เมื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแล้วควรต้องแก้ไขกฎเกณฑ์เพื่ออำนวยความสะดวกในหลายด้านด้วยเช่นกัน”นายนิยม กล่าว .-สำนักข่าวไทย