พิษณุโลก 23 ม.ค. – เกษตรกรสาวและครอบครัว ปลูกกาแฟโรบัสต้า ในพื้นที่ 12 ไร่ ที่บ้านเข็กพัฒนา ต.บ้านแยง อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ใช้เวลา 3 ปี ก็เก็บผลผลิตได้นานถึง 50 ปี นำมาแปรรูปขายรายได้ 30,000-40,000 บาท/เดือน
น.ส.รุ่งนภา บุญจันทร์ และครอบครัว ปลูกกาแฟโรบัสต้า ในพื้นที่ 12 ไร่ หมู่ที่ 12 บ้านเข็กพัฒนา ตำบลบ้านแยง อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ตั้งแต่ปี 2544 รวมระยะเวลา 17 ปี คนในครอบครัวช่วยกันดูแลสวนกาแฟ พร้อมแปรรูปเป็นเมล็ดกาแฟคั่วและกาแฟผงสำเร็จรูป บรรจุถุง 350 กรัม ราคา 199 บาท ภายใต้แบรนด์กาแฟสดจากไร่ลุ่มน้ำเข็ก เป็นที่รู้จักของคอกาแฟและนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมา บนถนนสายพิษณุโลก-หล่มสัก ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 73-74 (หน้าวัดเข็กใหญ่) แวะเวียนซื้อ พร้อมเปิดจำหน่ายกาแฟสดหลากหลายรสชาติให้ลูกค้าได้แวะชิม รวมทั้งอาหารเจจากพืชผักปลอดสารเคมีที่ในครอบครัวร่วมกันปลูก สร้างรายได้งามเดือนละ 30,000-40,000 บาท
ปกติกาแฟโรบัสต้าจะปลูกได้ในภาคใต้ของไทยถึงร้อยละ 99 และปลูกในพื้นที่ภาคเหนือร้อยละ 1 แต่ด้วยอุณหภูมิใน จ.พิษณุโลก ร้อนชื้น มีความเหมาะสม จึงสามารถปลูกกาแฟโรบัสต้าได้ผลดี ประกอบกับในพื้นที่ได้ผลิตปุ๋ยหมักใช้เอง โดยรวบรวมเศษใบไม้ในพื้นที่ และใส่ไม้ผลและกาแฟในพื้นที่ โดยให้น้ำฝนเป็นหลัก ส่วนฤดูแล้งจะให้ระบบน้ำหยดร่วมกับพืชที่ปลูกผสมผสาน คือ สะตอ ขนุน กระท้อน และมะไฟ ศัตรูที่สำคัญของกาแฟโรบัสต้า คือ เพลี้ยแป้ง ซึ่งกำจัดโดยใช้สารชีวภาพ คือน้ำส้มควันไม้และสารสะเดาในการฉีดพ่น นอกจากนี้ยังเพาะกล้ากาแฟโรบัสต้า อายุ 1 ปี จำหน่ายในราคาต้นละ 25 บาท สามารถลงหลุมปลูกได้เลย ใช้เวลาเพียง 3 ปี ก็สามารถให้ผลผลิต รวมทั้งขายกล้าพันธุ์สะตอ และเสาวรสจำหน่ายด้วย
น.ส.รุ่งนภา กล่าวว่า เริ่มแรกไปทำงานที่กรุงเทพฯ อยากกลับบ้าน แต่ติดขัดไม่มีอาชีพรองรับ จึงส่งเงินมาให้ทางบ้าน โดยให้แม่และพี่ชายปลูกกาแฟโรบัสต้าเมื่อปี 2544 ผ่านไป 3 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่กาแฟให้ผลผลิต จึงลาออกจากงานกลับมาเป็นเกษตรกรเต็มตัว โดยเก็บผลผลิตกาแฟในพื้นที่ 12 ไร่ มานาน 17-18 ปีแล้ว ขายเป็นสารกาแฟ ขายเป็นกาแฟชงหน้าร้าน ซึ่งอยู่ติดกับริมถนนสายพิษณุโลก- หล่มสัก ซึ่งเป็นเส้นทางสายท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนซื้อ เพราะติดใจในรสชาติ รายได้หลักของครอบครัวมาจากการขายกาแฟ เนื่องจากแปรรูปเป็นเมล็ดกาแฟคั่วและกาแฟผงจำหน่ายเอง มีเครื่องสีกาแฟและบดกาแฟเอง ปัจจุบันมีกาแฟในพื้นที่ 2,000 ต้น ให้ผลผลิตปีละกว่า 3,000 กิโลกรัม สร้างรายได้เดือนละ 30,000-40,000 บาท ข้อดีของกาแฟ คือ ปลูกครั้งเดียว แต่สามารถเก็บผลผลิตได้ยาวนาน 50 ปี
ขณะนี้ผลผลิตยังไม่เพียงพอส่งออกสหรัฐ ที่สั่งซื้อกาแฟผงปีละ 1 ตัน ขณะเดียวกันก็นำกากกาแฟที่ผ่านการชงแล้วนำมาตากแห้ง บรรจุถุง ขายเป็นผลิตภัณฑ์ขัดหน้าขัดผิว โดยผสมกับน้ำมะกรูดหรือมะนาว รวมทั้งมีตะไคร้และอัญชัญตากแห้ง เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรตากแห้งจำหน่ายอีกด้วย ผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 084-4912360. – สำนักข่าวไทย