กรุงเทพฯ 19 ต.ค. – ก.ศึกษาธิการทำข้อตกลงร่วมกับธ.ออมสิน ยกระดับคุณภาพชีวิตครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมี Cash Back ให้ครูที่ชำระหนี้ดีครบ 12 งวดติดต่อกัน
ธนาคารออมสินแถลงความร่วมมือ “แผนการพัฒนาคุณภาพชีวิตครูอย่างยั่งยืน ปี 2560” (โครงการสวัสดิการเงินกู้ ชพค.-ชพส.) ซึ่งเป็นแนวทางการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพชีวิตครู ภายใต้แนวคิดสร้างค่านิยมเพื่อส่งเสริมและตอบแทนให้รางวัลคนดีมีวินัยทางการเงิน
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารออมสินและกระทรวงศึกษาธิการ ได้ร่วมกันดำเนินการโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตครูและบุคลากรทางการศึกษา มาตั้งแต่ปี 2542 ด้วยการรวมหนี้สินจากหลายแหล่งมาไว้ที่ธนาคารออมสินเพียงแห่งเดียว โดยการกู้เงินจากโครงการนี้ไปปิด และคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สิน บรรเทาและลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ต่อมาในปี 2546 กระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ขึ้นมาเพื่อช่วยดูแลด้านสวัสดิการและสวัสดิภาพของสมาชิก โดยมีการจัดหาสวัสดิการด้านสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ และทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับธนาคารออมสินเพื่อดำเนินโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. – ช.พ.ส. มาไม่น้อยกว่า 7 โครงการ ซึ่งใช้เงินฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) และการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษาในกรณีคู่สมรสถึงแก่กรรม (ช.พ.ส.) มาค้ำประกัน โดยธนาคารออมสินมีการจัดสรรเงินสนับสนุนให้ สกสค. ในอัตรา 0.5-1% แยกตามแต่ละโครงการ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ธนาคารออมสิน ได้เห็นร่วมกันกับกระทรวงศึกษาธิการ ในการปรับปรุงแนวทางในการดำเนินงานของสินเชื่อครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้แนวคิดสร้างค่านิยมส่งเสริมและตอบแทนให้คนดีมีวินัยทางการเงิน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ดีขึ้น ซึ่งจะทำบันทึกข้อตกลงใหม่ร่วมกัน โดยเฉพาะการยกเลิกเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าตอบแทน ที่ธนาคารเคยจ่ายให้ในอัตรา 0.5-1% แยกตามแต่ละโครงการ เปลี่ยนมาจัดสรรเป็นเงินเฉลี่ยคืน (Cash Back) เข้าบัญชีครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่มีวินัยทางการเงิน ชำระหนี้ดีมา 12 งวดติดต่อกัน โดยหน่วยงานต้นสังกัด ได้แก่ สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จะให้ความร่วมมือในการนำส่งชำระหนี้ให้ธนาคาร นอกจากนี้ หากครูไม่ประสงค์จะนำเงิน ช.พ.ค. มาเป็นหลักประกันต่อไป ก็สามารถนำหลักทรัพย์ เช่น โฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 700,000 บาท มาค้ำประกันแทนก็ได้ ทั้งนี้คาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2561
“ธนาคารออมสินและกระทรวงศึกษาธิการได้หาทางแก้ไขปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพ โดยธนาคารฯ ได้เร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในส่วนของครูผู้กู้ที่ผิดนัดชำระ ด้วยการส่งหนังสือเชิญชวนให้ เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาหนี้ค้างชำระลงได้ ส่วนทางกระทรวงศึกษาธิการจะให้ความร่วมมือแจ้งหน่วยงานต้นสังกัดครูผู้กู้ ให้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารออมสิน ภายใต้เงื่อนไขพิเศษ 3 แนวทาง คือ 1.กรณีรายได้คงเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายมากกว่า 30% ของรายได้ สามารถพักชำระเงินต้นไม่เกิน 3 ปี และชำระดอกเบี้ยปกติ 100% 2.กรณีรายได้คงเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 15-30% ของรายได้ สามารถพักชำระเงินต้นไม่เกิน 3 ปี และชำระดอกเบี้ยปกติไม่น้อยกว่า 50% 3.กรณีรายได้คงเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายน้อยกว่า 15% ของรายได้ สามารถพักชำระเงินต้นไม่เกิน 3 ปี และชำระดอกเบี้ยปกติไม่น้อยกว่า 25%” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อปรับโครงสร้างหนี้แล้วสามารถชำระเงินงวดได้ตามสัญญาเป็นเวลา 12 เดือนติดต่อกัน ธนาคารออมสินจะจัดสรรเงินเฉลี่ยคืน (Cash Back) ให้ตามอัตราที่กำหนด ขณะที่ลูกหนี้ครูที่ สกสค. ชำระหนี้แทนแล้วไม่ได้เข้าโครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในครั้งนี้ ธนาคารฯ จะดำเนินการฟ้องคดีตามกฎหมายต่อไป
“เงินสนับสนุนพิเศษที่ธนาคารออมสินเคยจัดสรรให้ในโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค.-ช.พ.ส. เดือนละประมาณ 200 กว่าล้านบาท ตามข้อตกลงใหม่ที่จะเกิดขึ้นจะเปลี่ยนไปเข้าบัญชีของครูและบุคลากรทางการศึกษาแทน ซึ่งรวมแล้วปีละกว่า 2,500 ล้านบาท รวมครูได้รับเงินคืนมากกว่า 400,000 คน ส่วนคุณครูที่ไม่แน่ใจว่าจะสามารถผ่อนชำระหนี้ได้ตามกำหนด สามารถขอเข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้ได้ ซึ่งจะช่วยลดภาระการผ่อนชำระของคุณครู และสามารถกลับมาเป็นหนี้ปกติได” นายชาติชายกล่าว – สำนักข่าวไทย