กรุงเทพฯ 3 มี.ค. – พฤกษา โฮลดิ้ง หนุนผ่อนปรนมาตรการ LTV อีก 2-3 ปี ขยายถึงบ้านหลัง 2-3 เผย 7 สมาคมอสังหาฯ เตรียมเสนอคลังไม่เกินปลายเดือน มี.ค.นี้ ยันไม่มีโครงการซื้อหุ้นคืน ยังถือหุ้นใหญ่ พร้อมปักธงแผนปี 2568 ตั้งเป้ารายได้ 23,500 ล้านบาท โฟกัสธุรกิจหลักอสังหาริมทรัพย์-เฮลท์แคร์ เพิ่มสัดส่วนตลาดบ้านระดับกลางถึงบน เดินหน้าสู่ผู้นำเวลเนส เรสซิเดนซ์
ในขณะนี้เผยแผนธุรกิจปี 2568 เดินหน้าสู่การเป็นผู้นำด้านการอยู่อาศัยที่ผสานความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) ควบคู่การบริการด้านสุขภาพ ตั้งเป้ารายได้รวม 23,500 ล้านบาท โฟกัสธุรกิจหลักอสังหาริมทรัพย์ และเฮลท์แคร์ ปรับพอร์ตโฟลิโอต่อเนื่อง เพิ่มสัดส่วนตลาดบ้านระดับกลางถึงบน ต่อยอดธุรกิจพรีคาสท์ พร้อมรุกตลาดก่อสร้างเต็มรูปแบบ ด้านธุรกิจการดูแลสุขภาพเติบโตต่อเนื่องในทุกมิติ เตรียมขยายโรงพยาบาลเฉพาะทาง รองรับความต้องการอีก 3 แห่ง
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ เผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารที่ยังคงสูงอยู่ ขณะที่ปี 2568 ยังมีความท้าทายจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและภาคอสังหาฯ โดยมองว่าหากมีการผ่อนปรนมาตรการ LTV ใน 2-3 ปีจากนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นภาคอสังหาฯ ได้มากกว่าการลดอัตราดอกเบี้ยที่เป็นไปตามภาวะการเงิน เนื่องจากปัจจุบันประชาชนยังต้องการซื้อบ้าน อยากให้มีการกระตุ้นในทุกกลุ่ม โดยมองว่าควรมีการลดเงื่อนไขให้กู้ได้วงเงิน 100% บวกกับอีก 10% และผ่อนปรนเงื่อนไขในการดำรงชีพให้สามารถผ่อนชำระได้ และอยากให้ขยายไปยังบ้านหลังที่ 2 และ3 ด้วย
ส่วนการแก้ไข พ.ร.บ.ทรัพย์อิงสิทธิ เพื่อขยายสัญญาการเช่าจากเดิม 30 ปี เป็น 99 ปี มองว่าช่วงแรกขยาย 30+30 คือขยายเพิ่มอีก 30 ปีน่าจะเพียงพอ แต่ถ้าในอนาคตจะมีการขยายเพิ่มอีกก็ยิ่งดี ส่วนการจะเพิ่มโควตาให้ต่างชาติซื้อคอนโดมิเนียม 75% มองว่าก็เป็นเรื่องดีที่ทำให้ธุรกิจอสังหาขยายตัวได้ในกลุ่มลูกค้าต่างประเทศได้
“ส่วนสถานการณ์ตลาดหุ้นที่ผันผวน มีหลายบริษัทใหญ่เปิดโครงการรับซื้อหุ้นคืนนั้น ยืนยันพฤกษาฯ ไม่มีโครงการซื้อหุ้นคืน และตนเองยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในขณะนี้” นายทองมา กล่าว
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของพฤกษา ในปี 2567 มีรายได้รวมอยู่ที่ 21,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิที่ 456 ล้านบาท ทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ที่ 31.3% โดยยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net gearing ratio) ต่ำที่ 0.31 เท่า สำหรับในปี 2568 มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลัก ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ และเฮลท์แคร์ ยึดหลักการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน และเน้นการสร้างสรรค์โครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สมดุลทั้งสุขภาพและความสะดวกสบาย
ปี 2568 ตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 23,500 ล้านบาท ชู 2 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ (1) กลยุทธ์เชิงรับเพื่อรักษาข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน ด้วยการบริหารสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการจัดการและปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของตลาด เสริมสร้างสภาพคล่องด้วยการรักษากระแสเงินสดและเสถียรภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง รองรับการลงทุนในอนาคต พร้อมปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนอย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอ (2) กลยุทธ์เชิงรุก เพื่อสร้างการเติบโตท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทาย ด้วยการสร้างนิยามใหม่ของแนวคิดการออกแบบที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัย พร้อมขับเคลื่อนการลงทุนและเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพทั้งในและต่างชาติ
นายธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมถึงมาตรการ LTV ว่าจะให้ผลในการกระตุ้นภาคอสังหาได้มากว่าการลดดอกเบี้ย ซึ่งหลังจากที่ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไป 0.25% ธนาคารยังปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้เพียง 0.1% จึงมองว่า LTV สำคัญมากกว่า โดยเตรียมนัดประชุมหารือ 7 สมาคมวงการอสังหาฯ เพื่อยื่นเสนอกระทรวงการคลังให้เร็วที่สุด คาดว่าไม่เกินเดือนไม่เกินปลายเดือนมีนาคมนี้
ส่วนปัญหาการปล่อยเช่ารายวันในคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย มีแนวทางป้องกันคือ เมื่อจะมีการขาย ควรแจ้งให้ลูกค้าทราบว่าไม่สามารถทำได้ และเมื่อเข้ามาอยู่อาศัยแล้วต้องมีมาตรการควบคุมเข้มข้นไม่ให้มีการทำในลักษณะเช่นนี้ได้ ซึ่งทางพฤกษามีการแจ้งเตือนอยู่แล้ว และจะทำให้เข้มข้นมากขึ้น เช่น การใช้พาสคีย์ในการเข้าออกคอนโดฯ
สำหรับในปี 2568 พฤกษาวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 22 โครงการ มูลค่ารวม 23,400 ล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ 8 โครงการ มูลค่า 4,900 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่า 10,400 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 8,100 ล้านบาท เน้นพัฒนาโครงการเวลเนส เรสซิเดนซ์ และโครงการที่มีจุดเด่นด้านทำเล โดยในปี 2568 จะมีการเปิดตัวแบรนด์ระดับบนหลายโครงการ เช่น The Palm, The Reserve และ Chapter โดยมีสัดส่วนสินค้าในกลุ่มราคามากกว่า 7 ล้านบาท ราว 50% และโครงการที่ใกล้เมืองมากขึ้นและมีขนาดเล็กลง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบัน ตั้งเป้ายอดขายที่ 19,800 ล้านบาท และยอดขายผ่านโครงการ JV อีก 3,200 ล้านบาท รวมถึงยอดโอน 18,700 ล้านบาท และยอดโอนผ่านโครงการ JV อีก 1,600 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะรับรู้เป็นกำไรจากการลงทุนใน JV พร้อมปรับสัดส่วนโครงการแนวราบจาก ทาวน์เฮาส์ ต่อ บ้านเดี่ยว จาก 60:40 เป็น 50:50 ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่ โดยจะเน้นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในระดับ Ultra-premium segment เช่น THE RESERVE, THE PALM สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ส่งเสริมการอยู่อาศัยเพื่อสุขภาพ (Well-being-focused collaborative synergy) พร้อมโอนคอนโดใหม่ในปีนี้อีก 4 โครงการ เพื่อรักษามาร์จิ้นในระดับสูงไว้ได้
ด้านธุรกิจพรีคาสท์และก่อสร้าง เตรียมขยายการผลิตและนำเสนอบริการที่ครอบคลุมมากขึ้น โดยโรงงานพรีคาสท์ซึ่งเป็นโรงงานสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยกำลังการผลิต 5.2 ล้านตารางเมตรต่อปี และยังเป็นโรงงานปลอดขยะ (Zero-Waste) และลดคาร์บอนแห่งแรก ในปี 2568 ธุรกิจพรีคาสท์ตั้งเป้ารายได้ 2,100 ล้านบาท เน้นขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดให้มากขึ้น เช่น ผนังน้ำหนักเบา (Lightweight Wall) กำแพงกันดิน (Retaining Wall) และรั้วสำเร็จรูป (Project Fence) ในขณะที่ธุรกิจก่อสร้างตั้งเป้ารายได้ 5,400 ล้านบาท มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าทั้ง B2B และ B2C สำหรับการสร้างบ้านในระดับราคา 10-30 ล้านบาท
ด้านธุรกิจการดูแลสุขภาพ นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า ธุรกิจการดูแลสุขภาพของโรงพยาบาลมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ โดยในปี 2567 กลุ่มวิมุตมีรายได้ 2,187 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อน มี EBITDA อยู่ที่ 112 ล้านบาท รายได้หลักมาจากศัลยกรรม การตรวจสุขภาพ การดูแลเด็ก แผนกฉุกเฉิน แผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อ กระดูกสันหลัง สูตินรีเวช และระบบทางเดินอาหาร
สำหรับปี 2568 ตั้งเป้ารายได้ 2,600 ล้านบาท พร้อมพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ ทางด้านสุขภาพปอด จักษุ กระดูกสันหลัง ต่อมไร้ท่อ ศัลยกรรม กุมารเวช ระบบทางเดินอาหารและตับ หัวใจและหลอดเลือด เตรียมเปิดโรงพยาบาลเฉพาะทางเพิ่มอีก 3 แห่ง ย่านทองหล่อ สุขุมวิท และปิ่นเกล้า.-516-สำนักข่าวไทย