อสมท 13 ก.ย.-การทำความเข้าใจการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ ซึ่งรวมถึงที่สาธารณประโยชน์ เราสามารถอธิบายเกี่ยวกับที่ดินทั้งหมดในประเทศแบบเข้าใจง่ายๆ ดังนี้
ที่ดินในประเทศไทยนั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ที่ดินของเอกชน ที่ดินของรัฐ โดยที่ดินของเอกชน ได้แก่ ที่ดินที่ประชาชนมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย และทางราชการออกเอกสารสิทธิให้ในรูปของโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรอง การทำประโยชน์ เช่น น.ส.3 หรือ น.ส.3 ก
ส่วนที่ดินของรัฐ ได้แก่ ที่ดินที่รัฐเป็นเจ้าของ ซึ่งมีหลายประเภท แต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายเฉพาะให้อำนาจในการดูแลรักษา ที่ป่าไม้ มีกรมป่าไม้เป็นผู้มีอำนาจดูแล, อุทยานแห่งชาติ มีกรมอุทยาน แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นผู้มีอำนาจดูแล, ที่แม่น้ำ มีกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เป็นผู้มีอำนาจดูแล, ที่ทางหลวง กรมทางหลวง, ที่ราชพัสดุ มีกรมธนารักษ์ดูแล, ที่ ส.ป.ก. ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรกรรม มี ส.ป.ก.เป็นผู้อำนาจดูแล, ที่นิคมสร้างตนเอง มีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นผู้มีอำนาจดูแล, ที่สาธารณประโยชน์ มีนายอำเภอร่วมกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้มีอำนาจดูแล, ที่ดินรกร้างว่างเปล่า มีกระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้มีอำนาจดูแล
จะเห็นได้ว่าที่ดินของรัฐที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย มี 2 ประเภท คือ ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือที่สาธารณประโยชน์
“ที่สาธารณประโยชน์” หมายถึง ที่ดินที่ทางราชการได้จัดให้หรือสงวนไว้ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันตามสภาพแห่งพื้นที่นั้น หรือที่ดินที่ประชาชนได้ใช้หรือเคยใช้ประโยชน์ร่วมกันมาก่อน ไม่ว่าปัจจุบันจะยังใช้อยู่หรือเลิกใช้แล้วก็ตาม เช่น ที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ ป่าช้าฝังและเผาศพ ห้วย หนอง ที่ชายตลิ่ง ทางหลวง ทะเลสาบ เป็นต้น ตามกฎหมายถือว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ผู้ใดจะเข้ายึดถือครอบครองเพื่อประโยชน์แต่เฉพาะตนนั้นไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามที่ระเบียบและกฎหมายกำหนดไว้ หากฝ่าฝืนจะมีความผิดและได้รับโทษตามประมวลกฎหมายที่ดินหรือกฎหมายอื่นที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ
พนักงานเจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้บุคคลได้ใช้ประโยชน์ในที่สาธารณะเพื่อประโยชน์แห่งตนได้ ก็เฉพาะกรณีที่มีระเบียบและกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะเท่านั้น เช่น การอนุญาตขุดดินลูกรังหรือการอนุญาตดูดทราย เป็นต้น ซึ่งเดิมทีประชาชนส่วนใหญ่ใช้วัว กระบือ ทำการเกษตร จึงได้มีการกันพื้นที่ไว้สำหรับให้ประชาชนนำวัว ควาย ไปเลี้ยง หรือเดิมไม่มีเมรุ ก็จะกันพื้นที่ไว้เป็นที่ป่าช้าสำหรับเผาหรือฝังศพ
การที่จะพิจารณาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากการเกิดของที่ดินสาธารณประโยชน์นั้น โดยแยกเป็น 4 ประการ เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย โดยจะต้องพิจารณาว่า ที่ดินสาธารณประโยชน์นั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาใด เกิดขึ้นโดยสภาพธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ คลอง ห้วย หนอง บึง ซึ่งประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ เกิดขึ้นโดยการใช้ร่วมกันของราษฎร เช่น เดิมเป็นที่รกร้าง ว่างเปล่า ต่อมาราษฎร นำวัว กระบือ เข้าไปเลี้ยงจนกลายเป็นที่สาธารณประโยชน์ และเกิดขึ้นโดยการอุทิศ
ในการพิจารณาว่าที่ดินแปลงใด เป็นที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ จะต้องพิจารณาว่า เกิดขึ้นเมื่อใด และเกิดขึ้นอย่างไร
จากข้อมูลสำนักจัดการที่ดินของรัฐ กระทรวงมหาดไทย ในเดือนมิถุนายน ปี 60 มีการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่สาธารณประโยชน์ ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน หรือที่สาธารณะ ไปแล้วจำนวน 241 แปลง เนื้อที่กว่า 4,582 ไร่ และตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2460 กระทรวงมหาดไทยได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินหลวงประเภทที่สาธารณะแล้วกว่า 117,919 แปลง เนื้อที่ 6,813,287 ไร่ คิดเป็น 95 % ของจำนวนแปลงที่ยื่นขออนุญาติใช้พื้นที่ ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ 3,799 แปลง และยังไม่ได้รังวัดอีก 1,342 แปลง.-สำนักข่าวไทย