รัฐสภา 7 ต.ค.- กมธ.ต่างประเทศ ขอนายกฯ ใช้เวทีประชุมผู้นำอาเซียน คุย 3 ประเทศเมียนมา-กัมพูชา-ลาว เร่งแก้ปัญหายาเสพติด-น้ำท่วม ข้ามพรมแดน Call Center ไม่สนกระแสดราม่านายกฯ อ่านสคริปต์ เน้นเนื้อหา
นายจุลพงศ์ อยู่เกษ รองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศสภาผู้แทนราษฎรแถลงถึงบทบาทนายกรัฐมนตรีในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในสัปดาห์นี้ ว่า จากการติดตามเห็นว่าประเทศไทยยังขาดพลังอำนาจในหลายเรื่องที่จะดึงดูดความสนใจจากประเทศคู่เจรจานอกอาเซียน อีกทั้งยังมีผู้นำคนใหม่ของประเทศอาเซียนเข้าร่วมประชุมด้วย ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ และนายกรัฐมนตรีจากกัมพูชา ดังนั้นความสนใจของประเทศคู่เจรจาอาเซียนเช่นจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐและออสเตรเลีย อ่าจพุ่งไปที่ผู้นำประเทศเหล่านี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรี สิงคโปร์และประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ และนายกรัฐมนตรีของไทยอาจจะไม่ได้รับการเวลาแบ่งในการเจรจาแบบตัวต่อตัว แต่ขอว่าอย่าสนใจในเรื่องนี้มาก อยากให้สนใจผลลัพธ์ของการประชุมในครั้งนี้ โดยมุ่งเจรจาไปที่ผู้นำของประเทศเมียนมา ลาวและกัมพูชาในปัญหา 3 เรื่อง ว่าเราต้องการลดหรือกำจัดปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังคือปัญหายาเสพติด ปัญหาน้ำท่วมข้ามพรมแดนที่เกิดจากเส้นทางธรรมชาติตามพรมแดนและปัญหาเรื่อง Call Center โดยขอให้นายกรัฐมนตรีแสดงออกอย่างเจาะจงให้ทราบถึงเจตนาของประเทศไทย เช่นกำหนดไปว่าไทยมีเจตจำนงที่จะให้ความร่วมมือในการลดหรือกำจัดปัญหาเหล่านี้ภายในระยะเวลาเท่าไหร่ เช่น 1 หรือ 2 ปีนับจากนี้และอย่ายกขึ้นมาเจรจาลอยๆ
“ผมขอแค่ 3 เรื่องยาเสพติดน้ำท่วมข้ามพรมแดนและ Call Center ขอให้เจรจาให้เกิดมรรคผล และมีผลในการเจรจาของผู้นำประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้และหากการเจรจาสำเร็จขอให้นายกรัฐมนตรีแถลงให้ประชาชนได้ทราบเมื่อกลับมาประเทศไทย ถือว่าจะเป็นประโยชน์กับคนไทยเป็นอย่างยิ่ง และแสดงถึงศักยภาพของผู้นำประเทศและคุ้มค่าแล้วที่นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุมอาเซียนครั้งแรก เพราะลำพังการจับมือทักทายถ่ายรูปเป็นแค่พิธีกรรมและสุดท้ายนี้ ขอให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี และคิดว่าต่อไปในการประชุมระดับประเทศอีก 2-3 ครั้งก็จะมั่นใจมากขึ้น” นายจุลพงศ์
ส่วนกระแสดราม่านายกรัฐมนตรีอ่านสคริปต์ในเวทีผูนำนั้นนายจุลพงศ์ กล่าวว่า ไม่ใช่สาระของเนื้อหา ที่สนใจคือพูดอะไรบ้างซึ่งตนยังไม่เห็นรายละเอียดจากกระทรวงการต่างประเทศจึงไม่ถือเป็นสาระ.-312 -สำนักข่าวไทย