กกร.กังวลไทยขาดดุลการค้าจีน หลังครึ่งปีแรกขาดดุลพุ่ง 15.66%

กรุงเทพฯ 7 ส.ค.- กกร. กังวลไทยขาดดุลการค้าจีน หลังครึ่งปีแรกขาดดุลพุ่ง 15.66% หวั่นแอป TEMU ซ้ำ ทำ SMEs ไทยปิดตัวพุ่ง


นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายสุรงค์ บูลกุล รองประธานกรรมการสภาหอการค้าไทย ร่วมแถลงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนสิงหาคม 2567

นายผยง เผยว่า กกร.มีความกังวลต่อการขาดดุลการค้าระหว่างไทยกับจีน ที่ล่าสุด 6 เดือนแรกของปี 2567 มีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นถึง 7.12%YoY คิดเป็นมูลค่ากว่า 37,569.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าจากจีน 19,967.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 15.66% ซึ่งส่งผลกระทบกับภาคการผลิตกว่า 23 กลุ่มอุตสาหกรรม อีกทั้งยังถูกซ้ำเติมจาก Platform e-commerce ที่เข้ามาเปิดตลาดในประเทศโดยขายสินค้าจากโรงงานตรงสู่ผู้บริโภคในราคาถูก ซึ่งเป็นการค้ารูปแบบใหม่ของจีน ยิ่งกดดันผู้ประกอบการ SMEs เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันทั้งด้านราคา และต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าได้ ส่งผลต่อการปิดตัวของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทย ดังนั้นเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ ภายใต้เมกะเทรนด์ของโลกที่มีสินค้าไม่ได้คุณภาพเข้ามาตีตลาดจากภาวะ Over Supply ที่ประชุม กกร. จึงขอเสนอให้รัฐบาลเข้มงวดการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้า กำกับและควบคุมสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษี โดยบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าภายในประเทศอย่างเข้มข้น โดยสร้าง Ecosystem ที่ทำให้ผู้ประกอบการไทย และ Supply Chain ไทยมีความเข้มแข็งและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีน อย่างยั่งยืน (Thai-Chinese Center for Business Sustainability (TCCBS)) เพื่อแก้ไขปัญหาการค้าและการลงทุน ระหว่างไทยและจีน ให้อยู่ในกรอบของผลประโยชน์ร่วมกันภายใต้กรอบของกฎหมายของทั้งสองประเทศและกติกาสากล


นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แอพฯ TEMU คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยโดยตรง และส่งผลอย่างหนัก เนื่องจากเป็นการ เป็นการนำสินค้าจากโรงงานของจีนส่งไปขายทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยไม่ต้องใช้ตัวกลาง ซึ่งเขามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำมาก เพียงปีกว่าๆ ที่แอป TEMU บุกตลาดอเมริกา ก็ทำให้เจ้าตลาดอย่าง Amazon สะเทือนหนัก และมีผู้บริโภคเข้าไปใช้บริการมากถึงวันละ 51 ล้านคน ทำให้ยอดขายพุ่งขึ้นอย่างมาก ดังนั้นแอพนี้จึงจะทำให้สินค้าอุตสาหกรรมของไทยได้รับผลกระทบหนักจากการไหลบ่าเข้ามาของสินค้าต่างๆ จากจีนแล้ว ยังเจอแอพฯ นี้ซ้ำเติมอีก ซึ่งเดิมทีการจะซื้อสินค้าจากบริษัทแม่ของ TEMU จะต้องร่วมกันซื้อเพื่อต่อรองให้ได้ Volum ที่มาก แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว ซื้อชิ้นเดียวก็ได้ราคาจากโรงงาน ตรงนี้เป็นปัญหาที่เรากำลังจับตากันอยู่ ทาง กกร.จึงอยากให้ภาครัฐหามาตรการสกัดกั้นรวมถึงดำเนินการมาตรการด้านภาษีอย่างเข้มงวด

นายผยง กล่าวต่อว่า ครึ่งปีหลัง ถือเป็นความท้าทายต่อการส่งออกสินค้าของไทย เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว กำลังซื้อในประเทศของจีนยังชะลอตัว ขณะที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับตลาดแรงงานที่แผ่วลงกดดันการบริโภคในระยะข้างหน้า ขณะที่ภาวะตลาดการเงินโลกเกิดความผันผวน เฟดส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วและแรงขึ้น สวนทางกับธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว

ส่วนแบ่งตลาดของสินค้าอุตสาหกรรมไทยในอาเซียนลดลง โดยกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลงจาก 12.7% (1Q/66) เหลือ 11.5% (1Q/67) และยานยนต์ลดลงจาก 20.9% (1Q/66) เหลือ 18.7% (1Q/67) เป็นผลจากการที่จีนได้ส่งออกสินค้ามาแข่งขันในตลาดอาเซียนมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรม 6 เดือนแรกของปีหดตัว 1.8% นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการรุกตลาดอีคอมเมิร์ซของสินค้าจีน


เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังเปราะบางแม้การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐจะเริ่มนำเม็ดเงินเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณทำให้การใช้จ่ายของรัฐกลับมาขยายตัวเฉลี่ยสูงกว่ากว่า 15% ในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ภายในประเทศชะลอตัวสะท้อนจากยอดโอนอสังหาฯ 5M/67 หดตัว -8.8% ยอดจำหน่ายรถยนต์ 6M/67 หดตัวต่อเนื่องที่ -24%YoY และการส่งออกที่ยังขยายตัวได้น้อย ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำกว่าศักยภาพแม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะทยอยกลับมาฟื้นตัว

กกร.จึงคงกรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 (ณ ส.ค.67) ไว้ที่ 2.2 – 2.7 ส่งออก 0.8 – 1.5 และเงินเฟ้อ 0.5 – 1.0

อย่างไรก็ดีแม้ว่า 6 เดือนแรกของปี 2567 จะมีจำนวนการเปิดโรงงานขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีโรงงานเปิดกิจการกว่า 1,009 แห่ง เพิ่มขึ้น 122.67%YoY ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนผ่าน BOI แต่ในขณะเดียวกัน พบว่ามีโรงงานปิดตัวเพิ่มขึ้นในครึ่งปีแรกแล้วกว่า 667 แห่ง สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 86.31%YoY หรือเฉลี่ย 111 แห่ง/เดือน และหากพิจารณามูลค่าโรงงานต่อโรงที่ปิดตัว พบว่ามีเงินทุนลดลงเหลือเฉลี่ย 27.12 ล้านบาทต่อโรงงาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็ก หรือ SMEs ที่มีการปิดโรงงานในอัตราส่วนที่เร่งขึ้น

กกร. เตรียมข้อเสนอเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม อาทิ การส่งเสริมสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ (Made in Thailand) เพื่อช่วยจัดสรรเม็ดเงินลงระบบในราย Sector การสนับสนุนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อรองรับ EV และ Transform ไปยังธุรกิจใหม่ การส่งเสริม SMEs การบริหารจัดการ waste ของภาคอุตสาหกรรม และการพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับ Industry 4.0

จากการที่รัฐมีข้อสังเกตว่าเศรษฐกิจไทยมีการลงทุนน้อย มีสัดส่วนการลงทุนต่อ GDP ต่ำกว่า 25% ลดลงจากที่เคยสูงเกือบ 30% ในขณะที่มีการออมในระดับสูงจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง และมีเงินทุนไหลออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้นซึ่งเป็นการเสียโอกาสในการนำเม็ดเงินมาลงทุนปรับโครงสร้างการผลิตและยกระดับประสิทธิภาพการผลิตภายในประเทศ ที่ประชุม กกร. เห็นตรงกับภาครัฐว่าประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเสนอให้ภาครัฐมีมาตรการสนับสนุนทางภาษีอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมการลงทุนในเมืองรองและสนับสนุนการลงทุนโดยใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (local content) ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับเมกะเทรนด์ การลงทุนเพื่อรองรับสังคมคาร์บอนต่ำ รวมถึงปรับปรุงหลักเกณฑ์และกฎหมายเพื่อลดอุปสรรคในการทำธุรกิจ (Ease of doing business) และความพร้อมเรื่องทรัพยากรบุคคล

ส่วนสถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังมีความน่ากังวล ตัวเลขหนี้เสีย (NPL) ที่รายงานโดยเครดิตบูโรยังมีการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดเดือนพฤษภาคมสูงถึง 1.14 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%YoY สะท้อนภาพการฟื้นตัวของรายได้ที่ยังไม่ทั่วถึง ที่ประชุม กกร. เห็นว่ามีความจำเป็นที่รัฐจะเร่งรัดผันเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจโดยที่ส่วนหนึ่งมุ่งเน้นการยกระดับกลุ่มฐานราก และภาคการผลิต ใน Real Sector ให้มีความสามารถในการแข่งขัน และสร้างรายได้ให้กับกิจการและแรงงานตลอด Supply Chain อย่างแท้จริง ควบคู่ไปกับการกระตุ้นให้ลูกหนี้และภาคธุรกิจเข้าร่วมการปรับโครงสร้างหนี้หรือรวมหนี้เพื่อลดภาระหนี้ให้เหมาะสมกับรายได้

ที่ประชุม กกร. เห็นว่าการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงที่เหลือของปีเป็นความจำเป็นเร่งด่วนโดยเฉพาะการกระตุ้นกิจกรรมก่อสร้างภาครัฐให้กลับคืนมา ซึ่งจะช่วยหนุนภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องรวมทั้งการจ้างงานให้ฟื้นตัวดีขึ้นโดยเร็ว เติมสภาพคล่องในระบบเพื่อสนับสนุนกำลังซื้อที่อ่อนแอ นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอว่า ภาครัฐควร นำเทคโนโลยี เช่น Block Chain มาพัฒนากระบวนการจัดซื้อจัดจ้างออนไลน์ ตาม พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างฯ พ.ศ. 2560 ให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส สามารถติดตามสถานะได้ตลอดเวลา. -517-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ฆ่าจระเข้

เจ้าของฟาร์มเศร้าตัดใจฆ่าจระเข้ 125 ตัว ห่วงน้ำท่วมทำหลุดบ่อ

สุดเศร้า! เจ้าของฟาร์มตัดใจฆ่าจระเข้พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ 125 ตัว เหตุกลัวน้ำท่วมทำหลุดบ่อ หลังฝนตกหนักในพื้นที่ จ.ลำพูน

น้ำป่าทะลักท่วมชุมชน ป่าช้า-เมรุเผาศพ จ.ชัยภูมิ

น้ำป่าจากเทือกเขาภูแลนคา ทะลักท่วม 6 ชุมชน เมืองชัยภูมิ ป่าช้า เมรุเผาศพ สุสานชาวจีน จมน้ำมากว่า 3 วันแล้ว เจ้าหน้าที่เร่งสูบน้ำตลอด 24 ชม.

ข่าวแนะนำ

“บิ๊กต่อ“ ทิ้งท้ายเกษียณ ขอตำรวจตั้งใจทำงาน ส่วนตัวขอพักผ่อน

“บิ๊กต่อ” ทิ้งท้ายอายุเกษียณราชการ “งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา” จากนี้ขอให้ตำรวจตั้งใจทำงาน ส่วนตนขอพักผ่อน