ทำเนียบรัฐบาล 10 ต.ค.-“ภูมิธรรม“ แจงตัดสส.ออกจากกรรมการทำประชามติแก้รธน.ป้องกันปัญหายืดเยื้อ กฤษฎีกาห่วงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ติงวิจารณ์เพื่อไทยคุมได้ มองแง่ร้ายเกินไป ทุกคนในคณะกรรมการมีเกียรติ
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่สำนักงานกฤษฎีกามีความเห็นไม่ให้ สส.เป็นคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางการทำประชามติ ว่า เรื่องดังกล่าวมีความเห็นที่แตกต่างและท้วงติงเข้ามา โดยฝ่ายที่เห็นด้วยมองว่าหากนำ สส.มาก็ไม่ต่างกับการตั้งวิปรัฐบาล และถือเป็นเรื่องทางวิชาการ สอบถามความเห็น จึงไม่น่ามีปัญหาอะไร อย่างไรก็ตาม กฤษฎีกาให้ความเห็นเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากกฎหมายตีความได้หลายแบบ จึงหลีกเลี่ยงที่จะให้ สส.มาร่วมคณะกรรมการดังกล่าว จึงตัดออกเพื่อไม่ให้กระบวนการล่าช้า
เมื่อถามว่ากฤษฎีกาตีความว่าฝ่ายบริหารจะไปแทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัติใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เขาพูดเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และเพื่อไม่ให้ติดขัดในความเห็นที่แตกต่างจึงตัดชื่อออก ทําเพื่อให้กระบวนการเร็วขึ้นและปราศจากข้อสงสัย
ส่วนสาเหตุดังกล่าวเป็นเพราะฝ่ายรัฐบาลไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมาดูเรื่องนี้ให้หรือไม่ เพราะเริ่มต้นก็ผิดพลาดแล้ว นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ใช่ข้อผิดพลาด เพราะรองเลขาธิการกฤษฎีกาก็อยู่ในคณะกรรมการชุดนี้ แต่เรื่องนี้เป็นความเห็นที่แตกต่าง ซึ่งในทางกฎหมายเห็นต่างกันได้อยู่เสมอ
เมื่อถามว่า มีข้อสังเกตว่าคณะกรรมการส่วนใหญ่เป็นคนของพรรคเพื่อไทย ทําให้สามารถคุมได้และจะส่งผลให้รัฐธรรมนูญออกมาไม่ชอบธรรม นายภูมิธรรม กล่าวว่า มองในแง่ร้ายเกินไป ต้องให้ให้เกียรติคณะกรรมการ เพราะที่เชิญมาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ อดีตเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า อดีตรองอัยการสูงสุด นักวิชาการก็มีชื่อเสียง ที่บอกว่าพรรคเพื่อไทยคุมได้ก็ไม่เป็นความจริง เพราะทุกคนได้รับการยอมรับจากสังคม เรื่องนี้ได้รับความสนใจจากประชาชน ทุกคนมีเกียรติยศมากเพียงพอที่จะไม่เอาสิ่งเหล่านี้ไปสร้างปัญหาให้เสื่อมเสียเกียรติยศและชื่อเสียงของตัวเอง
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ส่วนการประชุมคณะกรรมการนัดแรกในวันนี้ เวลา 13.30 น. จะพูดคุยเกี่ยวกับกรอบและไทม์ไลน์ของการทำงานที่ชัดเจนขึ้นว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ และนอกจากนี้ยังมีหลายเรื่องที่จะพูดคุยกัน เช่น จะแก้ทั้งฉบับ แต่ยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2 จะถือเป็นการแก้ทั้งฉบับหรือแก้ไขรายมาตรา แต่หากเป็นการแก้ไขรายมาตรา อาจจะต้องยื่นแก้ไขมาตรา 256 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกัน.-สำนักข่าวไทย