นนทบุรี 16 ธ.ค.-กรมการค้าต่างประเทศ เตรียมแผนงานปีหน้า นอกจากภาคการส่งออกจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สร้างรายได้เข้าประเทศ การค้าชายแดนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ก็สร้างรายได้แต่ละปีมากกว่า 1 ล้านล้านบาท โดยจะเดินหน้าเจรจาเปิดด่านชายแดนที่ปิดจากสถานการณ์โควิด-19 ให้ได้มากที่สุด เตรียมจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าชายแดนตลอดทั้งปี พร้อมดันสินค้าข้าวและมันสำปะหลังไทยตีตลาดทั่วโลก โดยปี 65 ยอดสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่อง
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า นโยบายสำคัญในปี 2566 ยังคงมุ่งเน้นการผลักดันมูลค่าการค้าของประเทศ ซึ่งงานหลักๆ คือ การอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการ ทั้งขึ้นทะเบียนผู้ส่งออกสินค้ามาตรฐาน การอนุญาตผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า และผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า รวมถึงการต่ออายุใบอนุญาต และการออกใบรับรองมาตรฐานสินค้า ตลอดจนการออกหนังสือสำคัญการส่งออก-นำเข้าสินค้า และหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ที่จะต้องยกระดับสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับยุคสมัย และส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์จากเขตการค้าเสรีฉบับต่างๆ
ทั้งนี้ ที่สำคัญจะต้องเร่งผลักดันการส่งออกสินค้าไทย ผ่านการค้าชายแดนกับ 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย สปป ลาว เมียนมา และกัมพูชา โดยมีแผนจัดคณะเจรจาผลักดันเปิดด่านชายแดนให้ครบทั้งหมด 97 ด่าน จากปัจจุบันเปิดได้แล้ว 72 ด่าน เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าชายแดนให้ขยายตัวอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งยังมีแผนดำเนินงานโครงการขยายการค้าการลงทุนชายแดนและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยการจัดมหกรรมการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย ในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค.66 และทยอยจัดมหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ด้านลาว รวมถึงด้านเมียนมา และกัมพูชา
ขณะที่การผลักดันการส่งออก ผ่านการค้าผ่านแดนกับ 3 ประเทศ ไปยังจีน สิงคโปร์ และเวียดนาม ที่เริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากผู้ส่งออกหันกลับไปขนส่งสินค้าทางเรือและทางอากาศเพิ่มขึ้น หลังจากค่าระวางเรือปรับลดลงต่อเนื่องนั้น เตรียมประชุมร่วมกับผู้ส่งออก และผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อทำแผนที่ชัดเจน และกำหนดเป้าหมายการส่งออกทั้งการค้าชายแดนและผ่านแดนในปี 2566 อีกครั้ง จากในปี 2564 มีมูลค่าการส่งออกรวมกันมากกว่า 1 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีแผนผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว ที่กำหนดจัดงานประชุมข้าวนานาชาติ 2023 สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการค้าข้าวโลก เดินทางมาเจรจาธุรกิจ และยังได้ประชาสัมพันธ์ข้าวไทยด้วย พร้อมเตรียมแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมตลาดข้าวไทย ทั้งในตลาดเดิมและหาใหม่ ซึ่งปี 2565 นี้ ข้าวไทยเริ่มแข่งขันได้จากอัตราแลกเปลี่ยนและความต้องการทั่วโลกที่ต้องการข้าวไปเก็บสตอกเพิ่มขึ้น จากใบขออนุญาตการส่งออกข้าว จนถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2565 รวมกว่า 8.5 ล้านตัน สูงกว่าเป้าหมายการส่งออกข้างในปีนี้ที่ 7.5 ล้านตัน เช่นเดียวกับมันสำปะหลัง ที่ยังต้องตลาดเดิม เช่น จีน ยุโรป ส่วนตลาดใหม่ เช่น ตุรกี นิวซีแลนด์ อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และซาอุดีอาระเบีย ผ่านกิจกรรม Online และ Onsite เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย