วอชิงตัน 9 ม.ค.- เว็บไซต์ซีเอ็นเอ็น (CNN) วิเคราะห์ว่า แม้การเผชิญหน้าล่าสุดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐกับอิหร่านยุติลงก่อนที่จะบานปลายกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบอย่างที่หลายคนวิตก ก็ไม่ได้หมายความการเผชิญหน้าคลี่คลาย และอาจถึงจุดเดือดครั้งใหม่ได้ในอีกไม่นาน
สตีเฟน โคลลินสันของซีเอ็นเอ็นชี้ว่า ทั้งสองฝ่ายอาจอ้างว่าได้เปรียบทางยุทธศาสตร์และได้ชัยทางการเมือง แต่การเผชิญหน้าที่เสี่ยงที่สุดในรอบหลายทศวรรษของอริคู่นี้อาจแปรเปลี่ยนไปสู่ระดับใหม่ที่อันตรายมากยิ่งขึ้นไปแล้ว เพราะโครงสร้างความขัดแย้งและการตัดขาดทางการทูตยังคงอยู่ ซูซาน เฮนเนสซี อดีตทนายความสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐที่ผันตัวมาเป็นนักวิเคราะห์กฎหมายของซีเอ็นเตือนว่า ทั้งสองฝ่ายอาจนำโดรนและขีปนาวุธไปเก็บไว้ก่อนในขณะนี้ แต่อย่าทึกทักเองว่าเรื่องราวจบลงแล้ว ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า อิหร่านคงไม่คิดว่าการยิงขีปนาวุธถล่มอย่างจำกัดจะเป็นการแก้แค้นอย่างเพียงพอแล้วต่อการที่สหรัฐสังหารนายทหารคนสำคัญ การใช้ความรุนแรงผ่านตัวแทนจึงน่าจะเกิดขึ้นตามมา ขณะที่นายเดวิด เออร์เบิน ที่ปรึกษาการเมืองอาวุโสของทรัมป์เผยกับซีเอ็นเอ็นว่า ประธานาธิบดีคนนี้ไม่เหมือนประธานาธิบดีคนก่อน ๆ เพราะกล้าที่จะประกาศว่า สหรัฐจะไม่ปล่อยให้อิหร่านโจมตีสหรัฐผ่านตัวแทนอีกต่อไป
โคลลินสันมองว่า อิหร่านยิงขีปนาวุธถล่มที่ตั้งทหารสหรัฐในอิรักเพื่อเตือนพันธมิตรสหรัฐในตะวันออกกลางว่าอยู่ในพิสัยยิงทั้งหมดของอิหร่าน ขณะเดียวกันก็ฉวยโอกาสใช้พิธีศพ พล.ต.กาเซ็ม โซไลมานีสร้างความสามัคคีขึ้นในประเทศทั้งที่เพิ่งใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลจากเรื่องเศรษฐกิจ ส่วนการที่ประธานาธิบดีทรัมป์แถลงที่ทำเนียบขาวว่ายุติปฏิบัติการทางทหารแล้ว แต่จะเพิ่มการคว่ำบาตรให้รุนแรงขึ้นและไม่ได้แสดงท่าทีพร้อมเจรจา ทำให้อิหร่านไม่เห็นโอกาสที่จะทำให้ทรัมป์ผ่อนท่าทีลง นอกจากใช้การโจมตีผ่านตัวแทนโดยมีเป้าหมายเป็นเรือสินค้า คลังน้ำมัน หรือที่ตั้งของสหรัฐในตะวันออกกลาง.- สำนักข่าวไทย