ปักกิ่ง 26 ก.พ.- ผลสำรวจบริษัทอเมริกันในจีนพบว่า มองแนวโน้มธุรกิจไม่สดใส ส่วนใหญ่กังวลเรื่องสงครามการค้ากับสหรัฐ และเกือบหนึ่งในสี่ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์
หอการค้าสหรัฐในจีนเผยแพร่สำรวจบริษัทอเมริกัน 314 แห่งในวันนี้ว่า ร้อยละ 89 มองความสัมพันธ์ทวิภาคีของสองเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกในแง่ร้าย สงครามภาษีที่ทั้งสองฝ่ายตอบโต้กันไปมารวมกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 9.38 ล้านล้านบาท) กระทบธุรกิจอเมริกันโดยตรงเพราะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและชาวจีนมีความต้องการซื้อลดลง บางบริษัทถึงกับต้องเลิกจ้างพนักงาน บริษัทสามในสี่เชื่อว่า ความสัมพันธ์ทวิภาคีจะเลวร้ายลงหรืออย่างน้อยก็ไม่ดีขึ้นในปีนี้ ขณะที่เกือบสองในสามเผยว่า ความตึงเครียดนี้กระทบต่อแผนการตลาด และเกือบหนึ่งในสี่เผยว่าได้ตัดสินใจชะลอการลงทุนในจีน
หอการค้าสหรัฐระบุว่า ความตึงเครียดทางการค้าทำให้จีนเพิ่มการตรวจตรา เพิ่มระเบียบกฎเกณฑ์ และชะลอกระบวนการผ่านด่านศุลกากรกับบริษัทอเมริกัน บริษัทหนึ่งในห้าได้ย้ายหรือกำลังพิจารณาย้ายฐานการผลิตออกจากจีน สาเหตุหลักคือเรื่องภาษีและต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ขณะที่บริษัทสามในสี่มีปัญหาเรื่องการเข้าถึงตลาดจีน ผู้บริหารคนหนึ่งเผยว่า จีนทำให้ธุรกิจนำเข้าสินค้าเกษตรยากขึ้นทุกปีนับตั้งแต่เขาเริ่มทำธุรกิจนี้เมื่อหลายปีก่อน
ส่วนเรื่องการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาก็เป็นปัจจัยที่ทำให้บริษัทอเมริกันราวหนึ่งในสามจำกัดการลงทุนในจีน และเพิ่มเป็นครึ่งหนึ่งสำหรับบริษัทด้านเทคโนโลยีและทรัพยากรและบริษัทด้านอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี ร้อยละ 59 มองว่า การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในจีนดีขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทอเมริกันกว่าครึ่งคาดว่า ปีนี้เศรษฐกิจจีนจะโตไม่เกินร้อยละ 5 ต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดว่ารัฐบาลจีนจะประกาศในเดือนหน้าว่าวางเป้าหมายไว้ที่ร้อยละ 6 นายทิโมธี สแตรทฟอร์ด ประธานหอการค้าสหรัฐระบุว่า แม้มีเรื่องท้าทายที่หลายเรื่องยืดเยื้อ หลายเรื่องยังไม่เป็นไปตามที่รับปากไว้ แต่จีนก็ยังคงเป็นตลาดสำคัญมากสำหรับธุรกิจอเมริกัน และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจทวิภาคีก็มีความสำคัญมากเกินกว่าจะทำผิดพลาดได้.- สำนักข่าวไทย