กทม. 4 ก.พ.- ศาลนัดฟังคำสั่ง 8 ก.พ. เพิกถอนปิดคลิปไลฟ์ “ธนาธร” แสดงความเห็นวัคซีนโควิด-19
ศาลนัดไต่สวนคำคัดค้านของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่ได้ยื่นขอให้ศาลพิจารณาเพิกถอนคำสั่งให้ปิดกั้นการเผยแพร่คลิปการไลฟ์ของนายธนาธร กรณีวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีการพาดพิงถึงสถาบัน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยื่นคำร้องต่อศาล
วันนี้ นายธนาธร ผู้คัดค้าน เดินทางมาศาลขึ้นเบิกความด้วยตัวเอง ขณะที่ฝ่ายกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ผู้ร้อง มีข้าราชการตำแหน่งนักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการ กับนายทศพล เพ็งส้ม ทนายความซึ่งปฏิบัติหน้าที่ที่ปรึกษากฎหมายให้ดีอีเอส ขึ้นเบิกความ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนาธร ขึ้นเบิกความมีเนื้อหาสรุปได้ว่า เหตุผลที่ออกมาไลฟ์สด ตนเป็นห่วงเรื่องการจัดการวัคซีนของไทย ควรฉีดให้กับประชากรอย่างทั่วถึงรวดเร็ว กลยุทธ์การจัดการวัคซีนของรัฐบาลไม่เหมาะสม ครอบคลุมประชากรน้อยเกินไป แผนการฉีดวัคซีนล่าช้า ทำให้ประเทศเสียหายเดือนละ 2.5 แสนล้านบาท ตามเอกสารแนบท้ายการประชุม ครม. เรื่องโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ประกอบกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขชี้แจงต่อกรรมาธิการสภาฯ ว่าจะฉีดวัคซีน 50% ได้ภายใน 3 ปี ไม่มีประเทศไหนทำอย่างนี้ หมายความว่าคนไทยต้องอยู่กับโควิดนานถึง 4 ปี การมีวัคซีนคือการเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์
ส่วนกรณีที่นายธนาธร พูดถึงผู้ถือหุ้นในบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ นายธนาธร ระบุมีเอกสารหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงการถือหุ้น การจัดหาวัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนกามีสัญญา 3 ส่วน คือ 1.รัฐบาลจัดซื้อวัคซีนกับบริษัทแอสตราฯ จำนวน 26 ล้านโดส เพื่อฉีดให้ประชาชนไทยได้ราวเดือนพฤษภาคม 2.สัญญาบริษัทแอสตราฯ กับบริษัทสยามไบโอฯ ผลิตวัคซีน 200 ล้านโดส เพื่อกระจายขายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 3.รัฐบาลสนับสนุนทางการเงินให้บริษัทสยามไบโอฯ ผลิตวัคซีน
นายธนาธร ระบุด้วยว่า วัคซีนทั้งหมด 21.5 เปอร์เซ็นต์ มาจากบริษัทแอสตราฯ 20 เปอร์เซ็นต์ กับบริษัทซิโนแวค 1.5 เปอร์เซ็นต์ ไม่กระจายความเสี่ยง บริษัทที่ได้รับจัดสรรจากรัฐบาลต้องมีการคัดเลือกโปร่งใส และมีข่าวว่าทางยุโรปมีกรณีบริษัทผลิตยาส่งมอบวัคซีนไม่ทัน ถ้าความเสี่ยงดังกล่าวเกิดขึ้นกับไทย ใครจะรับประกัน รัฐบาลกล้ารับผิดชอบหรือไม่ ถ้าเป็นตนจะไม่เลือกบริษัทสยามไบโอฯ รัฐบาลควรคำนึงด้วย
ต่อมาข้าราชการตำแหน่งนักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการของดีอีเอส พยานฝ่ายผู้ร้องขึ้นเบิกความ มีเนื้อหาสรุปที่มาของการตรวจสอบเรื่องนี้ เนื่องจากมีผู้ไปแจ้งความกับตำรวจ ปอท. ให้ดำเนินคดีนายธนาธรในความผิดตาม ป.อาญา ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และเมื่อพิจารณาข้อมูลต่างๆ แล้วก็ได้รับอนุมัติจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ให้นำพยานหลักฐานต่างๆ มายื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลอาญามีคำสั่งระงับปิดกั้น เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 URL โดยเห็นว่าการไลฟ์สดของนายธนาธรเป็นการชี้นำให้ประชาชนตั้งคำถามกับในหลวงให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับการถือหุ้นบริษัท มีผลกระทบทำให้เกิดการแสดงความคิดเห็นในสื่อสาธารณะ
ส่วนนายทศพล เพ็งส้ม พยานฝ่ายผู้ร้องอีกปาก เบิกความถึงการฟังไลฟ์ของนายธนาธร แล้วเห็นว่ามีการบิดเบือน จึงไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับ ปอท. ให้ดำเนินคดีตาม ป.อาญา ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เนื่องจากนายธนาธรพยายามบิดเบือนว่า รัฐบาลสั่งซื้อวัคซีนป้องกันโควิดจากบริษัทแอสตราฯ แล้ว จากนั้นบริษัทดังกล่าวจึงไปว่าจ้างบริษัทสยามไบโอฯ ให้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด ซึ่งนายธนาธร ชี้นำให้เห็นว่าถ้าหากบริษัทสยามไบโอฯ ผลิตวัคซีนโควิดล่าช้า หรือไม่ได้คุณภาพ ก็จะเกิดความเสียหายกับผู้ถือหุ้น ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงว่าตามกฎหมายแล้ว กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจะต้องรับผิดชอบมากกว่า
ภายหลังการไต่สวนคำคัดค้านเสร็จสิ้นแล้ว ศาลกำหนดนัดฟังคำสั่งคดีนี้ต่อไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 10.00 น. โดยนายธนาธร เปิดเผยว่า ไม่ได้วิตกกังวลอะไร ศาลจะวินิจฉัยตัดสินอย่างไรก็เป็นอำนาจของศาล ตนทำตามหน้าที่อย่างเต็มที่ ได้ชี้แจงเหตุผลและพยานหลักฐานต่างๆ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ.- สำนักข่าวไทย