ทำเนียบฯ 7 ต.ค. – ศบศ.เคาะ “ช้อปดีมีคืน” ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30,000 บาท เริ่มซื้อสินค้า 23 ต.ค.-31 ธ.ค.63
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 4/2563 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม ว่าที่ประชุม ศบศ.มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ภายใต้มาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ สนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี ส่งเสริมการผลิตสินค้าท้องถิ่น และส่งเสริมการอ่าน
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะเป็นการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2563 สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 30,000 บาท กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กลุ่มผู้ประกอบการประเภทผู้ค้าสินค้าและบริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และผู้ประกอบการขายหนังสือและสินค้า OTOP โดยไม่รวมสินค้าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาสูบ สลากกินแบ่งรัฐบาล น้ำมัน ค่าที่พัก และค่าตั๋วเครื่องบิน
สำหรับมาตรการดังกล่าวจะมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2563 เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีปีภาษี 2563 เดือนมีนาคม 2564 คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากการดำเนินมาตรการทั้งหมด 55,500 ล้านบาท ทั้งนี้ หากประชาชนใช้สิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือโครงการคนละครึ่งแล้วจะไม่สามารถใช้สิทธินี้ได้
ทั้งนี้ โครงการช้อปดีมีคืนคาดว่าจะทำให้รัฐสูญรายได้จากการจัดเก็บภาษีประมาณ 11,000 ล้านบาท โดยมาตรการดังกล่าวจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตร (ครม.) พิจารณาอนุมัติในช่วงสัปดาห์หน้า คาดว่าจากทุกมาตรการที่ภาครัฐดำเนินการ ทั้งมาตรการคนละครึ่ง มาตรการเราเที่ยวด้วยกัน มาตรการจ่ายเงินอุดหนุนให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงโครงการช้อปดีมีคืน คาดว่าจะมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคมนี้ไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท
ในวันนี้ที่ประชุมยังได้หารือถึงการเปิดให้นักธุรกิจหรือนักลงทุนที่ต้องการเดินทางเข้ามายังประเทศไทยด้วย แต่จะต้องมีการพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งวันที่ 9 ตุลาคมนี้ คาดว่าจะมีการหารือกันอีกครั้งในที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) อีกครั้ง.-สำนักข่าวไทย