สมุทรสาคร 30 เม.ย. – ภรรยาเข้ารับศพเหยื่อแผ่นปูนพระราม 2 ตกใส่รถเสียชีวิต ยอมรับทำใจยากมาก ยังไม่กล้าบอกลูกด้วยตัวเอง ด้าน ผอ.แขวงทางหลวงสมุทรสาคร ส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบโครงสร้าง
ช่วงเช้าที่ผ่านมา ครอบครัวของนายอำนาจ อายุ 46 ปี ผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นปูนขนาดใหญ่ 2 แผ่น ตกใส่รถกระบะบนช่องทางทางด่วน พระราม 2 เข้ามารับร่างของนายอำนาจกลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดยางตาล จังหวัดนครสวรรค์ เป็นเวลา 3 วัน และฌาปนกิจศพในวันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม
ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าว นางจันทร์แรม ภรรยาของนายอำนาจ ยอมรับความรู้สึกตอนนี้ ทำอะไรไม่ถูก เพราะเกิดขึ้นกะทันหัน ทั้งที่คิดว่าถึงมือหมอแล้ว แต่เมื่อหมอเรียกไปรับทราบว่าหลังผ่าตัดสามีมีเลือดซึมไหลออกมาเรื่อยๆ และความดันต่ำลงมาก หมอให้ยากระตุ้นแล้ว แต่ไม่สามารถช่วยให้ฟื้นขึ้นมาได้ ตอนนั้นรู้สึกช็อก และยอมรับ ยังไม่กล้าบอกลูกด้วยตัวเองว่าพ่อเสียแล้ว รวมถึงต่อจากนี้ยังไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร และหากเป็นไปได้ ไม่อยากให้เกิดเหตุแบบนี้กับครอบครัวของใครอีก

ด้านนายไพบูลย์ กลิ่นหอม นายจ้างของผู้เสียชีวิต ยอมรับเสียใจที่ลูกน้องที่ทำงานมากว่า 10 ปี ต้องมาเสียชีวิตเพราะเหตุการณ์ลักษณะนี้ อยากให้ผู้เกี่ยวข้องมาช่วยดูแล เพราะเหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก
ขณะที่ นายธนสาร สิทธาภา ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงสมุทรสาคร ย้ำว่าล่าสุดได้ส่งทีมงานศูนย์สะพานตรวจสอบโครงสร้าง และสั่งโครงการทำตะแกรงล้อมรอบอีกชั้น ส่วนตัวสะพานผู้เชี่ยวชาญจะมาดูอีกทีหนึ่ง ซึ่งคงจะต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย และอาจต้องซ่อมใหญ่ เพราะคาดว่าเหตุที่เกิดเป็นแผ่นปูนที่กะเทาะจากใต้ท้องสะพาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสะพานต่างระดับมหาชัย-กระทุ่มแบน ที่มีอายุการใช้งานมานาน 30 ปี ส่วนเรื่องการเยียวยา และดูแลในเบื้องต้น กรมทางหลวงได้มีการจัดรถเคลื่อนศพไปยังจังหวัดนครสวรรค์บ้านเกิดผู้เสียชีวิต และช่วยเหลือค่าทำศพ แต่เรื่องค่าเสียหายคงต้องมาเจราจากันอีกครั้ง
ขณะที่ พันตำรวจโทวิชิต ลุนผา รองผู้กำกับการสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร เจ้าของคดี กล่าวถึงข้อกฎหมายว่า เป็นคดีที่ผู้ดูแลต้องรับผิดชอบในทางแพ่ง ประเด็นไม่บำรุงดูแลรักษาสะพานให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง เศษปูนเสื่อมสภาพหลุดร่อนลงมาโดนรถ และมีผู้เสียชีวิต และกรณีนี้แผ่นปูนอยู่ในความรับผิดชอบของแขวงการทาง ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเข้ามาสอบเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย