กทม. 22 มี.ค.-ศาลชั้นต้นสั่งจำคุก 22 จำเลยคดีแชร์ลูกโซ่ยูฟันสูงสุด 12,267 ปี แต่ตามกฎหมายจำคุกได้ไม่เกิน 50 ปี ให้ชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยให้ผู้เสียหาย และยกฟ้องอีก 21 ราย หัวหน้าชุดทำคดีน้อมรับคำตัดสินของศาล
วันนี้ (22 มี.ค.) ศาลอาญา รัชดาฯ อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีที่อัยการยื่นฟ้องนายศิริโชค สิริวรรณภา อดีตสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา, นายนที ธีระโรจนพงษ์ หรือ เกย์นที กับพวกรวม 43 คน 7 สำนวนคดี ผิด พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, พ.ร.บ.ขายตรง, พ.ร.บ.เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, พ.ร.ก.กู้ยืมเงิน และฉ้อโกงประชาชน พร้อมขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้แก่ผู้เสียหาย 2,451 คน เป็นเงิน 351,556,314 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี คดีแชร์ลูกโซ่ยูฟัน
เมื่อถึงเวลานัด ผู้เสียหายลำดับที่ 136 ยื่นขอเป็นโจทก์ร่วมและขอเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาออกไป โจทก์ไม่คัดค้าน แต่ทนายจำเลยคัดค้าน ว่าเป็นการประวิงเวลาในคดี ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามกฎหมายผู้เสียหายสามารถขอเป็นโจทก์ร่วมได้ก่อนมีคำพิพากษา แต่ไม่อนุญาตให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาและให้รวมสำนวนคดีทั้ง 7 เป็นสำนวนเดียวกัน จำเลยทั้ง 43 คน ให้การปฏิเสธ
ศาลยังพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบตรวจสอบสถานที่ตั้งของบริษัทยูฟัน ในแต่ละแห่งพบเป็นเพียงห้องเช่า และสอบถามพยานไม่พบการซื้อขายสินค้าตามที่บริษัทกล่าวอ้าง แต่ใช้การซื้อขายสินค้าออนไลน์อำพรางการกระทำที่แท้จริง คือ การขายหน่วยการลงทุนยูโทเคน ที่ไม่ได้รับการรับรองตามกฎหมาย แต่บริษัทอ้างว่าเป็นสกุลเงินมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับการลงทุนหุ้น แต่ได้ผลตอบแทนเร็วกว่า และมีมูลค่าสูงกว่า และหากมีการหาสมาชิกต่อเพิ่มจะได้ผลตอบแทนร้อยละ 7-12 ของเงินที่สมาชิกใหม่นำมาลงทุนใหม่ โดยมีพฤติการณ์นำเงินหมุนเวียนจากสมาชิกเก่ามาจ่ายให้สมาชิกใหม่ แต่ที่ผู้ร่วมลงทุนบางส่วนระบุไม่รู้สึกว่าตัวเองได้รับความเสียหาย เห็นว่าผู้เสียหายกลุ่มนี้เป็นกลุ่มแม่ข่ายที่ได้รับค่าตอบแทนจากการชักชวนสมาชิกจำนวนมาก หลักฐานของจำเลยทั้ง 43 คน ไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษทุกกรรมเรียงกระทงความผิดของจำเลยแต่ละคนแตกต่างกัน โดยพิพากษาจำคุกตั้งแต่ 256 ปี, 12,267 ปี, 12,255 ปี, 12,257 ปี แต่ตามกฎหมายจำคุกได้ไม่เกิน 50 ปี และไม่เกิน 20 ปี ในจำนวนนี้มี นายนที ธีระโรจนพงษ์ หรือ เกย์นที รวมอยู่ด้วย ปรับบริษัท ยูเทรดดิ้ง จำกัด จำเลยที่ 42 ซึ่งเป็นนิติบุคคล เป็นเงิน 1,225,700,000 บาท โดยให้ร่วมกันคืนเงินที่กู้ยืมและฉ้อโกงไปรวม 356,211,209 บาท แก่ผู้เสียหาย 2,451 คน พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ส่วนจำเลยที่เหลืออีก 21 คน พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ในจำนวนนี้คือ นายศิริโชค สิริวรรณภา
พล.ต.อ.สุวิระ ทรงเมตตา ที่ปรึกษา สบ 10 หัวหน้าชุดทำคดี กล่าวว่า เคารพคำพิพากษาของศาลที่ลงโทษผู้กระทำความผิด รวมทั้งชดใช้เงินให้ผู้เสียหายพร้อมดอกเบี้ย ส่วนผู้เสียหายที่ยังไม่เข้าแจ้ง ความสามารถเข้าแจ้งความได้ เนื่องจากคดียังไม่หมดอายุความ.-สำนักข่าวไทย