สนช.เห็นชอบรายงานแก้ปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทย

a00111รัฐสภา 23 ธ.ค. –  สนช.เห็นชอบ รายงานแก้ไขปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทย ยกการแก้ปัญหาระบบอุปถัมภ์เป็นวาระแห่งชาติ กำหนดข้อห้ามรับของขวัญ เล่นกอล์ฟกับผู้มีส่วนได้ประโยชน์ ตั้งองค์กรกลางบริหารงานบุคคลควบคุมมาตรฐาน  ด้านปธ.กมธ.แนะแก้ค่านิยมสังคมเป็นลำดับแรก รองลงมาคือแก้กฎหมาย


เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การแก้ไขปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยให้เป็นรูปธรรม ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการแก้ไขปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยให้เป็นรูปธรรมพิจารณาเสร็จแล้ว

พล.ร.อ.ศักดิ์สิทธิ เชิดบุญเมือง ประธานกรรมาธิการฯ  กล่าวรายงานว่า ปัญหาระบบอุปถัมภ์ของไทยสั่งสมมายาวนาน โดยเฉพาะในแวดวงราชการไทย ซึ่งระบบราชการถือเป็นเสาหลักที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ จึงต้องมีกระบวนการให้ความเป็นธรรม แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากประสบปัญหาจากผู้บังคับบัญชา ระบบอุปถัมภ์และไม่มีคดีตัวอย่าง จึงทำให้ผู้กระทำผิดไม่เกรงกลัวกฎหมาย


ประธานกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ต้องมีแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทย ผ่านกระบวนการปลูกฝังค่านิยม ปรับปรุงกฎหมาย ปฏิรูประบบราชการ สร้างการมีส่วนร่วมภาคประชาสังคม  ปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การแก้ไขระบบอุปถัมภ์และการทุจริตคอร์รัปชั่น ประกาศใช้กฎหมายโดยเร็ว มีกลไกลติดตามตรวจสอบการออกกฎหมาย ปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งนักบริหารระดับสูง

“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ระบบราชการและวัฒนธรรมการทำงานของราชการยังคงถูกแทรกซึมด้วยระบบอุปถัมภ์ ในแวดวงข้าราชการไทย ยึดโยงกับความเชื่อเรื่องผู้ใหญ่ มีการฝากเนื้อฝากตัว ทดแทนบุญคุณ มีภาษิตมากมาย เช่น ข้าเก่าเต่าเลี้ยงทำให้ระบบอุปถัมภ์ฝังรากลึก มีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวพัน  ข้าราชการผู้น้อยวิ่งเข้าหาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่  ส่วนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ก็จะวิ่งหานักการเมือง ที่มีอำนาจแต่งตั้ง โยกย้าย นักธุรกิจก็วิ่งเต้นเสนอผลประโยชน์ตอบแทน โดยไม่คำนึงถึงหลักคุณธรรม ความเสมอภาค ความรู้ความสามารถ ทำให้ข้าราชการขาดขวัญกำลังใจ คนเก่งคนดี ไม่สามารถอยู่ในระบบได้ กลายเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งระบบอุปถัมภ์ได้สร้างความเสียหายอย่างมาก” พล.ร.อ.ศักดิ์สิทธิ กล่าว

สำหรับข้อเสนอของคณะกรรมาธิการฯ  มีข้อเสนอแนะเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ 4 ด้าน คือการดำเนินการด้านนิติบัญญัติ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย ป้องกันการใช้ระบบอุปถัมภ์ ส่งเสริมระบบคุณธรรมในการพิจารณาแต่งตั้งและโยกย้ายบุคลากรภาครัฐ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการปฏิบัติ การดำเนินการด้านการบริหาร ใช้หลักธรรมาภิบาลเป็นหลักในการบริหารบ้านเมือง  ยกระดับการแก้ไขปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยเป็นวาระแห่งชาติ


กำหนดข้อห้ามต่าง ๆ เหมือนบางประเทศเช่น  การห้ามรับของขวัญ รับเลี้ยง รับสินบน หรือเล่นกอล์ฟ กับผู้มีส่วนได้ประโยชน์ หรือการห้ามข้าราชการที่เกษียณอายุราชการแล้ว เข้าไปรับทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับภาคธุรกิจเอกชน ที่ข้าราชการผู้นั้นเคยมีอำนาจอยู่ในหน่วยราชการนั้น ๆ ในระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปี หลังจากเกษียณอายุราชการ

และเห็นควรลดขั้นตอนระยะเวลาในกระบวนการด้านตุลาการและกระบวนการให้ความเป็นธรรม มีบทลงโทษที่เด็ดขาด และฝึกอบรมภาคราชการและเอกชน พร้อมกันนี้ยังเสนอให้จัดตั้งองค์กรกลางการบริหารงานบุคคล เพื่อเป็นกลไกในการควบคุมและกำกับดูแลให้การบริหารงานบุคคลภาครัฐ เป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน มีความเป็นกลาง เป็นหน่วยงานอิสระที่ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหารหรืออยู่ใต้การบังคับ บัญชาของฝ่ายบริหารโดยตรง

สมาชิก สนช. หลายคนอภิปราย โดย นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิก สนช. กล่าวว่า ประเทศไทยเสพติดระบบอุปถัมภ์มายาวนาน   และที่พบเห็นมากคือในกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีการฝากเด็กเข้าโรงเรียน  ส่วนตัวเชื่อว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะช่วยให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากระบบอุปถัมภ์

นายกล้านรงค์ จันทิก สนช. กล่าวว่า ระบบอุปถัมภ์มาจากสภาพสังคมไทย ที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มผู้มีอำนาจและกลุ่มผู้ไม่มีอำนาจ กลุ่มผู้มีอำนาจวิ่งไปหาผู้มีอำนาจนักการเมืองเพื่อความอยู่รอด และเรามี 3 กฎ คือกฎหมาย กฎสังคมและกฎแห่งกรรม  ซึ่งขณะนี้กฎหมายไทยสามารถปราบปรามคอร์รัปชั่นได้ และถูกบัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่สำคัญยังเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันคอร์รัปชั่น แต่การบังคับใช้กฎหมายยังประสบปัญหาหลายด้าน ขณะที่รายงานฉบับนี้ต้องเน้นเรื่องกฎสังคมให้ชัดเจนกว่านี้ ซึ่งจะทำให้ระบบอุปถัมภ์ลดน้อยลงได้

หลังการอภิปรายอย่างกว้างขวางที่ประชุมเห็นชอบให้ส่งรายงานดังกล่าวไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นข้อมูลดำเนินการจัดทำกฎหมายต่อไป

พล.ร.อ.ศักดิ์สิทธิ ให้สัมภาษณ์ว่า มั่นใจว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและเกิดประสิทธิภาพต่อระบบราชการ นำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาของชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม ต้องแก้ที่ค่านิยมทางสังคม ก่อน ซึ่งคณะกรรมาธิการ จะจัดพิมพ์รายงานดังกล่าวประมาณ 3,000 ฉบับ แจกจ่ายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ต่อไป  และติดตามผลในรูปแบบการตั้งกระทู้ถามรัฐบาล ว่าดำเนินการสิ่งใดไปบ้าง และมีแนวคิดที่จะตั้งกรรมาธิการเพื่อขับเคลื่อนทางสังคม และผลักดันการออกเป็นกฎหมาย

“เรามีกฎหมายมากพออยู่แล้ว ต้องมาโฟกัสสังคม ให้คนไทยมีค่านิยมทางสังคมใหม่ รายงานที่ออกมาไม่สามารถเปลี่ยนได้ทันที ต้องค่อยเป็นค่อยไปแก้ที่สังคมก่อนกฎหมาย” พล.ร.อ.ศักดิ์สิทธิกล่าว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

น่านยังอ่วม บางจุดน้ำท่วมสูงเกือบ 2 เมตร

น่าน 25 ก.ค. – เข้าสู่วันที่ 3 น้ำท่วมใหญ่เป็นประวัติการณ์ของเมืองน่าน แม้ระดับน้ำลดลงบ้างแล้ว แต่ในตัวเมือง-เขตเศรษฐกิจยังท่วมสูง บางจุดระดับน้ำเกือบ 2 เมตร ขณะที่ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” นำทีมกู้ภัยฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวเข้าช่วยเหลือชาวบ้าน .-สำนักข่าวไทย

มีผลทันที! ประกาศกฎอัยการศึก 8 อำเภอ “จันทบุรี-ตราด”

25 ก.ค.- กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ประกาศใช้กฎอัยการศึกบางพื้นที่ มีผลทันที กองทัพเรือ โดย กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด “ประกาศใช้กฎอัยการศึก” บางพื้นที่ ดังนี้ ตามที่ได้มีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลงวันที่ 19 กันยายน 2549 ให้ใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 เวลา 21.05 นาฬิกา ซึ่งต่อมาได้มีพระบรมราชโองการเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ และให้ใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2550 นั้น โดยที่ปรากฏว่าประเทศกัมพูชาได้ใช้กำลังและอาวุธรุกรานเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตลอดแนวชายแดน จึงมีความจำเป็นโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ที่ต้องใช้กำลังทหาร ตำรวจ พลเรือน ตลอดจนประชาชนชาวไทยทุกคน เพื่อป้องกันประเทศให้พ้นจากภัยคุกคามอันมีที่มาจากภายนอกราชอาณาจักรดังกล่าว เพื่อรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดน ตลอดจนชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย และจำเป็นต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่เพิ่มเติม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 176 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457 จึงให้ใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่เพิ่มเติม ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 จังหวัดจันทบุรี อำเภอเมืองจันทบุรี […]

จรวด BM-21 ตกในพื้นที่สุรินทร์ 6 ลูก เร่งอพยพคนเพิ่ม

สุรินทร์ 25 ก.ค. – กระสุนของฝั่งกัมพูชามาตกไกลกว่าเหตุปะทะปี 2554 ตามที่เจ้าหน้าที่คาดการณ์ ล่าสุดมีจรวด BM-21 จำนวน 6 ลูก ตกในพื้นที่ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ เตรียมอพยพประชาชนไปยังที่ปลอดภัยกว่า .-สำนักข่าวไทย

สดุดี 3 ทหารกล้า สมรภูมิปราสาทตาควาย

25 ก.ค.- กองทัพภาคที่ 2 สดุดี 3 ทหารกล้า สละชีพ สมรภูมิปราสาทตาควาย หลังกัมพูชายิงจรวด BM-21 หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันมีทหารไทยเสียชีวิต 3 นาย จากการปฏิบัติหน้าที่เมื่อช่วงเช้าวันนี้ที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ หลังกัมพูชายิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ซึ่งกัมพูชานำไปจอดไว้ในพื้นที่ชุมชน โรงเรียน และวัด เพื่อเป็นโล่กำบัง โดยทหารที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ ได้แก่ 1.สิบเอกนพดล บุญเลิศ 2.สิบเอก กฤษฎา น้อยโคตร 3.สิบเอก จิรายุ สิงห์อ้น กองร้อยลาดตระเวนระยะไกล ที่ 6 กองพลทหารราบที่ 6 ร้อย.ลว.ไกล 6 และมีสิบเอกสุทธิชัย เรื่อเรือง ได้รับบาดเจ็บ -สำนักข่าวไทย