เขมทัตต์ฝากซีอีโอใหม่สานต่อพาองค์กรผ่านความเปลี่ยนแปลง

กรุงเทพฯ 11 ส.ค. เขมทัตต์ ฝากผู้บริหารใหม่ สานต่องาน ชี้ซีอีโอใหม่ต้องรอบรู้กฎหมาย การเงิน พร้อมย้ำเงินเยียวยาคืนคลื่น 2600 เมกกะเฮิรตซ์ เต้องข้าสู่ศาล วอนอย่าเอาหนังสือฉบับเดียวมาเป็นตัวตัดสิน


นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ในโอกาสจะพ้นจากการดำรงตำแหน่งว่า ช่วงที่เข้ามารับตำแหน่งเป็นช่วงหลังการเกิดขึ้นของทีวีดิจิทัลเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงและองค์กรกำลังเข้าสู่การขาดทุน อสมท ในเวลานั้นเป็นผู้ให้บริการทีวีดิจิทัล และผู้ให้บริการโครงข่ายการออกอากาศทีวีภาคพื้นดิน ขณะเดียวกันเกิดแพลตฟอร์มใหม่เกิดขึ้น เนื่องจากอสมท เป็นองค์กรสื่อที่มีสื่อทั้งวิทยุโทรทัศน์อยู่รวมกันจึงต้องมาจัดระบบกันใหม่ด้วยการเสนอปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อรองรับด้วยการปรับองค์กร อสมท ตระหนักว่าขณะนี้เม็ดเงินจากสัมปทานกำลังจะหมดไป ขณะที่การแข่งขันในอุตสาหกรรมสื่อมีการแข่งขันสูงมากขึ้น ต่อมามีมีเดียเกิดใหม่ทั้งโซเชียลมีเดีย และการมาของสื่อออนไลน์ สื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโทรทัศน์เริ่มเข้าสู่สื่อออนไลน์มากขึ้น อสมท พยายามปรับโครงสร้างองค์กรรองรับ โดยหาบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาดูแล อสมท เปิดโอกาสคนในและให้คนนอกเข้ามาบริหารงานเกิดเป็นสำนักธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มและสำนักบริหารดิจิทัลแพลตฟอร์ม ฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่พัฒนาเนื้อหาใหม่หาพันธมิตรเพิ่มในการทำสื่อดิจิทัล ฝ่ายหนึ่งนำเนื้อหาเดิมที่มีอยู่มาพัฒนาให้เกิดมูลค่าเพิ่ม 

“การบริหารที่ผ่านมาขับเคลื่อนได้ค่อนช้าเพราะองค์กรเราใหญ่ ติดขัดองคาพยพหลายอย่าง เงินทุนเราไม่เพียงพอที่จะทำงานได้อย่างคล่องตัว แต่อสมท ได้เตรียมตัวปรับตัวให้มีความคล่องตัวมากขึ้น โดยกำลังจะเปิดตัวดิจิทัลแพลตฟอร์ใหม่ คิดว่ายังทำงานไม่ครบตามที่ตั้งใจ เวลาน้อยมาก ต้องแก้ปัญหาทั้งโครงสร้างภายใน การเปลี่ยนแปลงแนวคิด การหาพันธมิตร ช่วงที่เข้ามพันธมิตรที่เคยทำรายการให้เราหายไปหมด เอเจนซี่ก็ตามพันธมิตรเราไป ทำให้เราต้องควักเงินทำรายการ ทำคอนเทนท์ใหม่ ที่ผ่านมาเราไม่ได้ใช้งบประมาณทำคอนเทนต์มากนัก หลังการเกิดทีวีดิจิทัลเราต้องควักเงินทำคอนเทนต์เอง ค่าคอนเทนต์คือหนึ่งในสามของค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทีวีดิจิทัล และเราไม่ได้ลงทุนแค่คอนเทนต์เราต้องลงทุนโครงข่ายแต่จะมีรายได้เข้ามาแต่ผลของการมีทีวีดิจิทัลจำนวนมาก็ทำให้กสทช.มีมาตรการช่วยเหลือ เราเป็นหน่วยงานรัฐ ไม่มีธุรกิจอื่น เรามีเงินมาจากธุรกิจของเราเองทั้งนั้นจึงทำให้เราต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ” นายเขมทัตต์ กล่าว
นายเขมทัตต์ กล่าวอีกว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาคิดว่าได้วางพื้นฐานไว้แล้วระดับหนึ่ง ทั้งการแก้ปัญหาการรั่วไหล การเพิ่มแพลตฟอร์มบันเทิงแวม และการพัฒนาช่องทางสำหรับการเสนอข่าวออนไลน์ อสมท มีจุดแข็งในการทำข่าวที่มีความเชื่อถือ สิ่งที่ต้องทำคือทำอย่างไรให้การรับรู้ทั่วถึง ข้อมูลข่าวสารไปถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้น ทันสมัยมากขึ้นเร็วขึ้น ทันกับความต้องการมากขึ้น ธุรกิจจะเติบโตหรือไม่เติบโตอย่างไรขึ้นอยู่กับกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ที่จะเข้ามาขับเคลื่อน และพนักงานจะนำพาองค์กรไปได้หรือไม่ 
“คนรุ่นใหม่ได้ดูทีวีแล้ว คนรุ่นใหม่ดูตามความชอบของตัวเอง ดูตามกระแส ดูตามโซเชียล เราตั้งวิสัยทัศน์ในการเป็นองค์กรที่รักษาความเชื่อมั่น เป็นองค์กรสร้างเนื้อหาที่เชื่อถือได้ ตรวจสอบได้ อสมท ควรเป็นองค์กรระดับชาติที่ทำหน้าที่ตรวจสอบความเชื่อมั่นของข่าวได้ ” 
ส่วนที่ยังไม่ได้ทำคือการพัฒนาหลักสูตรใหม่ให้ตอบสนองคนรุ่นใหม่และวิธีการเรียนออนลไน์มากขึ้น การพัฒนาที่ดินด้านหลังสำนักงานใหญ่อสมท ธุรกิจกิจอสังหาริมทรัพย์แม้ไม่ใช่ธุรกิจหลักของเราแต่เราต้องทำ โดยจะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยจะตั้งคณะกรรมการมาบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อวางรูปแบบในการร่างทีโออาร์ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของกระทรวงการคลังให้เสร็จภายในเดือนกันยายน-ตุลาคม จากนั้นจึงจะเปิดให้นักลงทุนเข้ามา โดยดยล่าสุดมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ข้อกฎหมายให้ทำธุรกิจนี้ได้คล่องตัวมากขึ้น ปีหน้าอสมท.คงจะพัฒนาเนื้อหาที่มุ่งเน้นการทั้งสาระและความบันเทิงมากขึ้น ทั้งความร่วมมือแพลตฟอร์มเพลงกับแวมมิวสิก    
ถ้าจะฝากอะไรถึงซีอีโอใหม่อยากจะฝากอะไร นายเขมทัตต์ กล่าวว่า ขอให้ช่วยดูว่าองค์กรเราจะไปในทิศทางไหน โครงการที่เป็นประโยชน์ที่ได้วางไว้โครงการได้จะสามารถสานต่อก็สานต่อได้ ถ้ามีอะไรใหม่ๆ ที่ควรทำและเป็นประโยชน์กับพนักงานก็ขอให้ทำ นอกจากนี้ขอให้สนใจเรื่องกฎหมายมากๆ ปีหน้ากฎหมายกสทช.ฉบับแก้ไขน่าจะเสร็จสมบรูณ์ และกำลังจะมีบอร์ดใหม่เข้ามา ยังจะมีกฎหมายที่ต้องให้ความสำคัญอาทิ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล , การจะเกิดขึ้นของสภาสื่อมวลชน , กฎหมายเกี่ยวกับโซเชียล และต้องมีความรู้ทางด้านการเงิน ปัจจุบันเราประคององค์กรไม่ให้ขาดทุนไปมากกว่านี้ ถ้าย้อนไปตั้งแต่การทำธุรกิจทีวีดิจิทัล อสมท. ควรจะเก็บเงินสดไว้มากๆ  เวลานั้นธนาคารพานิชย์ยังให้เงินกู้เพื่อประกอบกิจการทีวีดิจิทัล ถ้าตอนเราเรากู้เงินมาส่วนหนึ่งเพื่อทำธุรกิจและหมุนเงินไปเก็บเงินสดไว้ การมีเงินเก็บไว้มากๆ จะช่วยรักษาทุนไว้ได้ การสามารถบริหารธุรกิจได้เราต้องมีรายจ่ายค่าธรรมเนียมใบุอนุญาตและต้องผลิตรายการใหม่ๆ ซีอีโอใหม่ที่จะมีควรมีความรู้เรื่องการเงินด้วย 
เมื่อถามถึงปัญหาการชดเชยค่าเรียกคืนคลื่นความถี่ 2600 เมกกะเฮิรตซ์ นายเขมทัตต์ กล่าวว่า ในขั้นตอนปัจจุบันเป็นขั้นตอนของการฟ้องร้อง เมื่อกฎหมายเขียนไว้ว่าหากไม่พอใจให้ทำการฟ้องร้องได้ก็ต้องดำเนินการ ตามกฎหมาย ตนเชื่อว่ายังมีคนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างแท้จริง อย่าไปเอาเรื่องจดหมายแค่ฉบับเดียว แต่ต้องย้อนกลับไปดูเรื่องกฎหมายและบันทึกที่อสมททำถึงกสทช.มาโดยตลอด ตอนนี้ ผู้ตรวจสอบบัญชีของเราเข้าใจแล้วแต่คนนอกยังไม่เข้าใจ ถ้าอ่านประกาศของกสทช.แล้วทำความเข้าใจจะทราบว่าสิ่งที่เขียนมาความหมายอย่างไร การเขียนกฎระเบียบของกสทช.มีความหมายลึกมาก ซึ่งต้องทำคามเข้าใจ การบอกว่าผู้บริหารไปเอื้อให้คนนั้นคนนี้ อยากถาว่าเอื้อยังไงในเมื่อทุกอย่างมันยังไม่จบเรื่องเลย ถามว่าตอนนี้สัญญาร่วมการงานกับเอกชนคู่สัญญายังอยู่ให่ ยังอยู่ ถ้าเราทำตามสัญญาเราเสียเปรียบ ถ้าเราไม่ทำตามสัญญาเราก็เสียเปรียบ ความเห็นและข้อมูลของอนุกรรมการเยียวยาการเรียกคืนคลื่นความถี่เป็นสิ่งที่เป็นหลักฐานได้ก็ต้องยึดเอาความเห็นนั้น ตนยังไม่ขอให้ความเห็นอะไรขอให้ไปว่ากันที่ศาล ตนไม่ได้มีอำนาจในการไปบอกว่าแบ่งค่าเยียวยาเท่าใด ตนมีหน้าที่ในการให้ข้อมูลเพื่อให้กสทช.พิจารณาว่าจะแบ่งค่าเยียวยาอย่างไร ตนไม่ขอว่าใครผิดทั้งนั้น
ส่วนสิ่งที่กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท.จะทำคือ “เมื่อเกษียณแล้วคงไปทำบุญไม่ขอกลับมาทำงานหรือทำอะไรแล้ว อยากไปทำบุญและทำภาระกิจส่วนตัวที่ยังไม่ได้ทำที่เหลือให้ซีอีโอใหม่ขับเคลื่อนองค์กรต่อไป “-สำนักข่าวไทย.


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ.จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ 4 ทหารหาญ พร้อมปูนบำเหน็จ

กทม. 30 ก.ค.-กองทัพบกสดุดีทหารกล้า จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ 4 ทหารหาญ พร้อมปูนบำเหน็จ ขอพระราชทานยศทหารเลื่อนขั้นอย่างสมเกียรติ วันที่ 30 ก.ค. 68 กองทัพบกร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและส่วนราชราชการพื้นที่ จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพทหารกล้าที่สละชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ จากเหตุการณ์พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยใน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มอบให้คณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพบก ร่วมเป็นเกียรติในพิธีพระราชทานเพลิงศพของทหารหาญ จำนวน 4 นาย ดังนี้ 1.ส.อ.จิรายุ สิงห์อ้น ตำแหน่งพลลาดตระเวน กองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 6 (ร้อย ลว.ไกล 6) กองพลทหารราบที่ 6 ซึ่งเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ (25 ก.ค.68) ณ วัดตลาดราชมงคล อ.จตุรพักตรพิมาน จ.ร้อยเอ็ด โดยมี พล.อ. ณัฐวุฒิ นาคะนคร รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในพิธีพระราชเพลิงศพ โดยกองทัพบกได้ดำเนินการปูนบำเหน็จพิเศษ 7 ขั้น ขอพระราชทานยศทหารเป็นร้อยโท […]

ทบ.ยันไทยมีแผนพานานาชาติดูจุดเขมรถล่มเหมือนกัน

กทม. 30 ก.ค.-กองทัพบก ยันไทยมีแผนพานานาชาติดูจุดเขมรถล่มเหมือนกัน ประชาคมโลกต้องเห็นความเสียหาย ทั้งบ้านเรือน-โรงเรียน-โรงพยาบาล เร็วๆ นี้ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีฝ่ายกัมพูชานำคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ เข้าดูพื้นที่บริเวณจุดปะทะ บริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานีว่า จุดที่ฝ่ายกัมพูชานำคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศลงไปดูพื้นที่ปฏิบัติการทางทหาร บริเวณจุดที่เคยมีการปะทะกันนั้น เป็นบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี จึงเห็นมีภาพปรากฏถึงความเสียหายที่เกิดจากการใช้อาวุธจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งคงเป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ในบริบทของพื้นที่ทางยุทธการ และบริเวณนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายทางทหาร สำหรับฝ่ายไทยมีแผนจะจัดกิจกรรมในลักษณะดังกล่าวเช่นกัน โดยฝ่ายไทยจะไม่เน้นการสร้างภาพลวงแบบฉาบฉวย แต่จะเน้นสื่อสารเชิงคุณภาพ สิ่งที่จำเป็นจะต้องสื่อถึงประชาคมโลกคือ ความเสียหายต่อบ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล ที่ฝ่ายทหารกัมพูชาจงใจพุ่งเป้าโจมตีไปยังเป้าหมายเหล่านั้น จนมีพลเรือน ประชาชน เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวอยู่ลึกไกลเข้ามาภายในประเทศไทย และห่างจากพื้นที่สู้รบเข้ามาในไทยไกลมากถึง 10-30 กิโลเมตร พล.ต.วินธัย กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทย รวมถึงขัดต่อหลักปฏิบัติทางทหารตามกฎหมายสากล และหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเจตนาละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับ ที่ห้ามการโจมตีพื้นที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรบ กองทัพบกไทยขอยืนยันอีกครั้งว่า เราปฏิบัติการเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหารเป็นหลักเท่านั้น และยึดมั่นในกติกาสากล โดยขอย้ำว่า ฝ่ายไทยไม่ได้รุกรานใคร แต่เรามีสิทธิชอบธรรมในการปกป้องประชาชนและผืนแผ่นดินของเรา.-313.-สำนักข่าวไทย

เปิดภาพโรงพยาบาลไทยเสียหายหนัก หลังถูกกัมพูชาโจมตีด้วยอาวุธหนัก

ทำเนียบ 30 ก.ค.-โฆษกรัฐบาล เปิดภาพโรงพยาบาลไทยเสียหายหนัก หลังถูกกัมพูชาโจมตีด้วยอาวุธหนัก พร้อมประณามกัมพูชาละเมิดมนุษยธรรมร้ายแรง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ประณามการกระทำของรัฐบาลและกองทัพกัมพูชาอย่างรุนแรง กรณีการใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายที่เป็นสถานพยาบาลของไทยในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมขั้นพื้นฐานและเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน พร้อมกันนี้นายจิรายุ ยังเปิดภาพโรงพยาบาลบางส่วนที่ได้รับความเสียหาย ได้แก่ โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) คำโปรย, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โคก, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ซำเม็ง “ประเทศไทยขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกจับตามองและประณามการกระทำดังกล่าว ซึ่งต่างจากประเทศไทยที่ยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมอย่างเคร่งครัด โดยปฏิบัติการเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหารเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียแก่พลเรือ” โฆษกรัฐบาล ระบุ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น. พบว่า จากการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชา ได้ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตแล้ว 15 ราย ในพื้นที่จ.อุบลราชธานี และศรีสะเกษ บาดเจ็บสาหัส 12 […]

เหตุพลุระเบิด เสียชีวิตเพิ่มเป็น 10 คน

สุพรรณบุรี 30 ก.ค. – เหตุพลุระเบิด จ.สุพรรณบุรี พบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย ที่โรงพยาบาล รวมเสียชีวิต 10 ราย บาดเจ็บ 1 ราย สั่งการตั้งศูนย์ ศปก. ที่วัดโพธิ์ท่าทราย ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย คืบหน้าเหตุพลุระเบิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี ล่าสุด พล.ต.ต.วัชรินทร์ ประสพดี ผู้บังคับการภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า ขณะนี้มียอดผู้เสียชีวิต จำนวน 10 ราย เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 9 ราย และเสียชีวิตที่โรงพยาบาล 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 1 ราย ขณะนี้ได้สั่งการตั้งศูนย์ ศปก. ที่วัดโพธิ์ท่าทราย ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงประสานชุด EOD เข้าเก็บกู้ดินปืน เนื่องจากตรวจสอบพบหลุมขนาดใหญ่สีดำจำนวน 2 หลุม และดินปืนจำนวนหนึ่ง อีกทั้งยังพบร่างผู้เสียชีวิต ชิ้นส่วนจำนวนหนึ่งบริเวณที่เกิดเหตุ ส่วนข้อมูลการตรวจสอบ พบว่าบ้านหลังนี้มีการลักลอบผลิตพลุไล่นก.-สำนักข่าวไทย