กรุงเทพฯ 8 ก.ค.- “ช่อ” ฟ้อง “บุญเกื้อ” หมิ่นอมเงินบริจาค พร้อมเรียกค่าเสียหาย 1 ล้าน
น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ มอบหมายให้ ทนายความไป ยื่นฟ้อง ว่าที่ร้อยตรี หรือนายบุญเกื้อ ปุสสเทโว อดีตผู้ช่วย ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เป็นจำเลย ในข้อหาหมิ่นประมาท, หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 พร้อมเรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาท โดยศาลอาญารับไว้ในสารบบเป็นคดีหมายเลขดำ อ.1732/2563 กำหนดนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 26 ต.ค. 2563 เวลา 13:30 น. นั้น
คำฟ้องโจทก์ระบุพฤติการณ์สรุปได้ว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1-3 พ.ค. 2563 คณะก้าวหน้าได้จัดโครงการ #MAYDAYMAYDAY เพื่อสนับสนุนศิลปินนักดนตรีอิสระที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ในช่วงเวลารักษาระยะห่างทางสังคม โดยรายได้จากการระดมทุนเงินบริจาคระหว่างคอนเสิร์ต จะถูกส่งต่อไปให้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือความเดือดร้อนจากโรคติดเชื้อโควิด-19 เป็นเงินคนละ 3 พันบาท ภายใต้ชื่อกิจกรรมว่า “คอนเสิร์ตระดมทุน เมย์เดย์เมย์เดย์ เราช่วยกัน” คณะก้าวหน้าได้รับเงินบริจาคจำนวนทั้งสิ้น 7,282,897.34 บาท และได้ทำการส่งมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบหรือเดือดร้อนจากโควิด-19 จำนวน 2,427 คน
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2563 จำเลยในฐานะเจ้าของบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “บุญเกื้อ ปุสสเทโว” ได้ลงภาพและข้อความในเฟซบุ๊กโดยตั้งค่าสาธารณะ ทำนองว่า คุณช่อและคณะก้าวหน้ากลบเกลื่อนความผิดเรื่องอมเงินบริจาค อาชญากรรมย่อมทิ้งร่องรอยไว้เสมอ รายชื่อผู้ได้รับเงินมีพิรุธ สเตทเมนต์ลวงโลก ตรวจสอบทางทะเบียนราษฎร์แล้วไม่พบว่ามีตัวตน จากข้อความดังกล่าว โจทก์มีชื่อเล่นว่าช่อ และเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะก้าวหน้า ซึ่งเปิดบัญชีรับเงินบริจาคสำหรับโครงการ การที่จำเลยใส่ความโจทก์และคณะก้าวหน้าต่อสาธารณชนว่าอมเงินบริจาค เป็นอาชญากรรมทิ้งร่องรอย และจัดทำบัญชีรายชื่อผู้รับเงินอันเป็นเท็จ ย่อมทำให้โจทก์และคณะก้าวหน้าได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
ต่อมาวันที่ 29 มิ.ย. 2563 โจทก์ได้ชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายชื่อผู้ได้รับเงินบริจาคและหลักฐานการรับ-จ่ายให้จำเลยทราบ และแจ้งให้จำเลยลบข้อความซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์และคณะก้าวหน้าดังกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉย และใส่ความย้ำว่าโจทก์อมเงินหรือโกงเงินบริจาคของประชาชน ทั้งที่เมื่อโจทก์ชี้แจงต่อจำเลยอย่างเปิดเผยแล้ว จำเลยย่อมสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่างชัดได้ แต่กลับใส่ความโจทก์โดยมีวัตถุประสงค์ทางการเมือง การกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นการใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือข่าวปลอมต่อสาธารณะ จงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และขอใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท .-สำนักข่าวไทย