กทม. 14 มิ.ย.- พิชัย ห่วง สูญญากาศการเมือง ทำเศรษฐกิจยิ่งทรุด ชี้ ปลดล็อกยกเลิกเคอร์ฟิวแต่คง พ.ร.ก ฉุกเฉิน ทำภาพลักษณ์ไทยเสียหาย เสนอ ดิจิทัลไทยแลนด์ฟื้นฟูปรับเปลี่ยนประเทศ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามกระแสข่าวการเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจยกชุด แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป เหมือนเป็นสูญญากาศทางการเมืองในขณะที่สภาวะเศรษฐกิจของไทยย่ำแย่ลงทุกวัน ตัวเลขเศรษฐกิจน่าเป็นห่วงมาก แต่รัฐบาลกลับไม่มีทิศทางที่จะแก้ไขอย่างชัดเจน ข้าราชการก็ไม่แน่ใจว่าควรดำเนินการแบบใด ทั้งนี้หากจะปรับ ครม. เศรษฐกิจ ก็ควรเร่งดำเนินการ และผู้ที่เข้ามาจะต้องคิดใหม่ทำใหม่เพื่อปรับประเทศให้เข้ากับอนาคตของโลกให้ได้
นายพิชัย กล่าวว่า แนวทางการแก้ไขเศรษฐกิจจะต้องคำนึงถึงการแก้ไขทั้งเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ไปพร้อมกันถึงจะแก้ไขได้ การจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยละเลยการแก้ไขด้านอื่นควบคู่กันไปด้วย จะไม่สามารถแก้ไขได้สำเร็จ ซึ่งถ้าหากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจะปรับครม. เศรษฐกิจ ทั้งหมด ก็เท่ากับตอกย้ำความล้มเหลวของการบริหารเศรษฐกิจที่ผ่านมา ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ลดทิฐิ และได้กลับไปศึกษาแนวคิดที่ตนได้เคยเสนอมาตลอด
นายพิชัย ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลสั่งปลดล็อกและยกเลิกเคอร์ฟิว แต่กลับยังคง พ.ร.ก. ฉุกเฉินว่า ทำให้ภาพลักษณ์ไทยเสียหาย ทั้งนี้ อยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาแนวทางที่ตนได้เสนอไว้แล้ว คือการปรับเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็น ระบบดิจิทัลทั้ง หมด (Digitalization) โดยเริ่มต้นจากปรับเปลี่ยนระบบราชการ ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพและส่งเสริมให้ประเทศไทยพัฒนาตามโลกได้ทัน และจะสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับประชาชนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศจะฟื้นกลับมาได้ดีกว่าเดิม นอกจากนี้ยังจะแก้ปัญหาสำคัญของประเทศไทย เช่น การผูกขาด การคอรัปชั่น การหนีภาษี และ ความเหลื่อมล้ำได้พร้อมยก ตัวอย่างของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนแล้วคือประเทศเอสโตเนียที่แยกตัวออกมาจากสหภาพโซเวียดในอดีตและพัฒนาประเทศได้อย่างก้าวหน้า ประชาชนมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นมาก
“พลเอกประยุทธ์จะต้องเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นรอบด้าน ในภาวะวิกฤตินี้ไม่มีโอกาสที่พลเอกประยุทธ์จะทำผิดซ้ำซากอีกแล้ว เพราะจะยิ่งทำให้ประชาชนเบื่อหน่าย และจะหนีไม่พ้นความพยายามที่จะขับไล่ ถ้าหากรู้ตัวว่าไม่มีความสามารถเพียงพอก็ควรจะต้องลาออกไป เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันหนักหนาสาหัสมาก หากบริหารผิดทางเหมือนในอดีตจะยิ่งทำให้ประเทศไทยย่ำแย่ลง และจะไม่มีเหลือเงินทุนเพียงพอที่จะปรับเปลี่ยนประเทศแล้วเพราะรัฐบาลได้กู้เงินใช้เต็มวงเงินแล้ว จนหนี้สาธารณะของไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.1 ล้านล้านบาทแล้ว”นายพิชัย กล่าว.-สำนักข่าวไทย