กรุงเทพฯ 14 พ.ค. – บางจากฯ- เอสพีอาร์ซี ขาดทุนสตอกสูงจากโควิด-19 ราคาน้ำมันตกต่ำ ลดกำลังผลิต ชะลอโครงการลงทุนใหม่ พร้อมแสวงหาธุรกิจใหม่รับ NEW NORMAL
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบไปทั่วโลกเป็นวงกว้าง กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทฯ ได้ประเมินสถานการณ์และเตรียมแนวทางการดำเนินงานเพื่อรองรับทั้งด้านความปลอดภัย ด้านการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง มีการปรับแผนการผลิต การปรับลดค่าใช้จ่ายและเงินลงทุนโดยคาด คาดว่าปีนี้กำลังการผลิตจะลดลงจากแผนประมาณ 20% และเลื่อนเวลาปิดซ่อมให้เหมาะสม อีกทั้งได้พิจารณาถึงการจัดหาผลิดภัณฑ์จากภายนอกเพื่อนำมาขายแทนการผลิตเองบางส่วน ในกรณีที่สามารถทำกำไรได้มากกว่า ส่วนปริมาณการจำหน่ายของธุรกิจการตลาดปีนี้คาดจะปรับตัวลดลงประมาณ 20-25%
ด้านสถานะการเงิน บริษัทฯ เตรียมความพร้อมตั้งแต่ก่อนเกิดสถานการณ์ โดยทบทวนและปรับแผนการใช้จ่าย (OPEX) และแผนการลงทุน (CAPEX) ในโครงการต่าง ๆ ตามแผนธุรกิจของปี 2563 โดยให้มีการปรับลดหรือชะลอ รวมถึงเลื่อนการลงทุนในโครงการที่ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน แต่ต้องไม่กระทบกับการดำเนินธุรกิจหลักและต้องปฏิบัติตามกฎหมายและคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก โดยสามารถปรับลด OPEX 20% และลดและเลื่อน CAPEX 15%
สำหรับการบริหารสภาพคล่องทางการเงิน บริษัทฯ ได้มีมาตรการในการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ ติดตามดูแลและจัดเก็บหนี้ของลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้เพียงพอสำหรับการดำเนินงาน ตลอดจนบริหารจัดการชำระหนี้ได้ตามกำหนด ทั้งนี้ ได้มีการจัดหาแหล่งเงินทุนทั้งวงเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรองรับในกรณีที่มีความต้องการใช้ โดยล่าสุดบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ มูลค่า 8,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพื่อนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในปีนี้ และสำรองส่วนหนึ่งเพื่อการบริหารการเงิน
นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งคณะทำงาน Innovation Continuity Task Force ระดมความคิดจากพนักงานในการต่อยอดธุรกิจเดิมหรือสรรหาแนวการทำธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อเป็นการหารายได้ทดแทนและรองรับการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่จะเปลี่ยนแปลงไปหลังจากวิกฤติโควิด-19
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานกลุ่มบริษัท บางจากฯ ไตรมาสแรกของปี 2563 ว่า มีรายได้จากการขายและการให้บริการรวม 43,070 ล้านบาท ลดลง 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน มี EBITDA ติดลบ 2,546 ล้านบาท ลดลง 205% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลงร้อยละ 230 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี Inventory Loss 3,434 ล้านบาท รวมขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV) 1,689 ล้านบาท และเนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงอย่างมาก ทำให้มีการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำนวน 1,366 ล้านบาท ส่งผลให้ไตรมาสนี้มีขาดทุนสุทธิรวม 4,316 ล้านบาท
ด้านนายทิโมธี อลัน พอตเตอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1/2563 ว่า บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 261 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (8,273 ล้านบาท) โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือในช่วงปลายไตรมาส 1/2563 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4/2562 บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 98 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2,975 ล้านบาท) ค่าการกลั่นตลาดปรับตัวลงมาอยู่ที่ 1.28 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทั้งนี้ SPRC ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มกระแสเงินสดเป็นจำนวน 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการพิจารณาเลื่อนโครงการที่ไม่สำคัญหรือไม่เร่งด่วนออกไป ปรับลดปริมาณสินค้าคงคลัง มุ่งเน้นการปรับเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต และปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงาน . -สำนักข่าวไทย