“วัชระ” ยื่น ป.ป.ช.สอบทุจริต อบจ.ลำพูน

ป.ป.ช. 27 เม.ย.-“วัชระ” ยื่น ป.ป.ช.ตั้งคณะกรรมการสอบ อบจ.ลำพูน ส่อโกงโครงการซื้อของไม่มีคุณภาพแจกคนชรา มูลค่า 17 ล้าน พร้อมให้กัน ขรก.ชั้นผู้น้อยเป็นพยาน


นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผ่านนายสุทธิ บุญมี ผอ.สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบการส่อทุจริตการจัดซื้อชุดแคร์เซ็ทขององค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน เพื่อแจกแก่คนชรา ตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อโควิด-19 จังหวัดลำพูน พร้อมกับหลักฐาน คือ สำเนารายงานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดลำพูน ตามโครงการขับเคลื่อนภารกิจการดำเนินงานเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคติดต่อตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 จังหวัดลำพูน ปีงบประมาณ 2563 ครั้งที่ 8/2563 (Cloud Conference) วันที่ 31 มีนาคม 2563 จำนวน 1 ชุด สำเนาบันทึกตกลงซื้อขายเลขที่ 53/2563 ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน 1 ชุด ภาพถ่ายและวัสดุจริง จำนวน 13 รายการ ที่ อบจ.ลำพูน นำไปแจกคนชราตามโครงการป้องกันผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในพื้นที่จังหวัดลำพูน 1 ชุด และสำเนาบัญชีรายละเอียดการจ่ายขาดเงินสะสม ประจำปี 2563 ของ อบจ. ลำพูน จำนวน 1 แผ่น

ในหนังสือของนายวัชระ ระบุว่า ขณะนี้โควิด-19 ได้แพร่ระบาดสร้างความทุกข์เข็ญให้ประชาชนทั้งประเทศ กระทรวงมหาดไทยได้กำชับการใช้จ่ายเงินงบประมาณเรื่องนี้อย่างโปร่งใส ไม่ให้มีการทุจริตเด็ดขาด แต่ปรากฏว่ามีประชาชน จ.ลำพูน ได้ร้องเรียนมาว่าการจัดซื้อของแจกผู้สูงอายุ อายุ 70 ปีขึ้นไปของ อบจ.ลำพูน ด้อยคุณภาพ และมีราคาสูงเกินจริงกว่าท้องตลาด ส่อทุจริตเงินงบประมาณแผ่นดิน และได้จัดส่งตัวอย่างของที่แจกส่งมาให้ตนได้เห็นกับตา ในการจัดซื้อวัสดุดังกล่าว จำนวน 13 รายการ ติดสติ๊กเกอร์ว่า “อบจ.ลำพูน ดูแลคนในครอบครัว” 31 มีนาคม 2563 และ อบจ.ลำพูน ได้ทำบันทึกการซื้อขาย เลขที่ 53/2563 เพื่อซื้อชุดของใช้ประจำวัน (Care Set) ตามโครงการป้องกันผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จำนวน 1 ชุด ราคาต่อหน่วย 590 บาท รวมงบประมาณ 16,343,000 บาท และได้เบิกเงินแล้วปรากฏข้อเท็จจริงที่ได้ตรวจสอบของแจกแล้วปรากฏว่าไม่ได้คุณภาพ ไม่มีมาตรฐาน เช่น ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดมือ แก้วพลาสติก ผ้าปิดจมูก เป็นต้น และส่อว่าไม่คุ้มราคากับวัสดุที่จัดซื้อ และ อบจ.ลำพูนได้จ่ายขาดเงินสะสมในโครงการนี้จำนวน 17,174,000 บาท ดังนั้น จึงขอให้ ป.ป.ช.ตั้งคณะกรรมการสอบสวนการทุจริตของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด โดยกันข้าราชการชั้นผู้น้อยและข้าราชการที่ให้ความร่วมมือในการเปิดเผยการทุจริตไว้เป็นพยาน และคุ้มครองพยานตามกฎหมายของ ป.ป.ช. เพื่อจะได้ข้อเท็จจริงทั้งหมด อันจะนำไปสู่การดำเนินการตามกฎหมายทุจริตอย่างเด็ดขาดโดยเร็วที่สุด อย่าให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกระทำการทุจริตโดยอ้างโควิด-19 บนความทุกข์ยากของประชาชนอีกต่อไป.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง