ทำเนียบฯ 15 เม.ย.- ครม.เห็นชอบผ่อนปรนการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว อยู่ทำงานในไทยต่อได้ถึง 30 พ.ย.63 พร้อมปฏิบัติตามสถานการ์ฉุกเฉิน ป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 โดยผ่อนปรนให้แรงงานต่างด้าวจากสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่นายจ้างหรือผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวมาทำงาน ยื่นบัญชีรายชื่อความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวต่อกระทรวงแรงงาน ภายในวันที่ 31 มีนาคม อยู่ในราชอาณาจักรชั่วคราว โดยแรงงานต่างด้าวที่การอนุญาตทำงานสิ้นสุด สามารถทำงานไปพลางก่อนได้ ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 และให้นายจ้างสามารถลงทะเบียนยื่นบัญชีรายชื่อความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวจากเดิมถึงวันที่ 31 มีนาคม ขยายไปได้ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 เช่นเดียวกัน ซึ่งคงเหลือแรงงานต้างด้าวที่ยังไม่ลงทะเบียนจำนวน 555,993 ราย และใช้บัญชีรายชื่อความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวที่กรมการจัดหางานออกให้และใบอนุญาตทำงานฉบับเดิมไปพลางก่อนได้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังให้ยกเว้นค่าเปรียบเทียบปรับการอยู่เกินกำหนด (Overstay) รวมถึงการยกเว้นคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ 1/2558 เรื่อง การไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาในราชอาณาจักร ทั้งนี้กระทรวงแรงงานจะจัดระบบนัดหมายให้แรงงานต่างด้าวเข้ารับการตรวจสุขภาพในโรงพยาบาลของรัฐ เพื่อให้บริการตรวจสุขภาพเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ เมื่อแรงงานต่างด้าวได้รับใบรับรองผลการตรวจสุขภาพแล้ว สามารถยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานผ่านทางระบบออนไลน์ (https://e-workpermit.doe.go.th/) ได้ และนายจ้างหรือผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวมาทำงาน ต้องพาแรงงานต่างด้าวไปจัดเก็บข้อมูลชีวภาพและอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics Data) ณ ที่ทำการตรวจคนเข้าเมือง และจัดเก็บลายนิ้วมือ ณ ศูนย์บริการงานทะเบียนภาค สาขาจังหวัด หรือสำนักงานเขตของกรุงเทพมหานคร
นางนฤมล กล่าวว่า ให้ส่วนราชการ รวมถึงนายจ้างหรือผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวมาทำงาน ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ออกตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างเคร่งครัด เช่น การโดยสารยานพาหนะต้องเป็นไปตามจำนวนที่ทางราชการกำหนด การจำกัดจำนวนและปรับระยะเวลาการปฏิบัติงาน การเว้นระยะนั่งหรือยืนห่างกันอย่างน้อยหนึ่งเมตร (Social Distancing) เพื่อป้องกันการติดต่อสัมผัสหรือแพร่เชื้อโรคทางละอองฝอย หรือการให้บริการด้วยการสื่อสารแบบดิจิทัล เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย