กรุงเทพฯ 14 มี.ค.-กรุงเทพโพลล์ สำรวจพบประชาชน ร้อยละ 42.7 ระบุยังหาซื้อหน้ากากอนามัยไม่ได้ ร้อยละ 23.2 ระบุว่าหาซื้อได้ยากถึงยากที่สุด โดยร้อยละ 58.0 ชี้ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนโดยภาครัฐ อาจเกิดการกักตุนหน้ากากอนามัยเพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทุนเก็งกำไร ร้อยละ 56.4 รัฐควรเปลี่ยนให้ผู้มีความรู้ความสามารถมาจัดการปัญหาหน้ากากอนามัย และร้อยละ 52.6 ลงโทษให้หนักผู้กักตุนหน้ากากอนามัย
กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “วิกฤตการณ์ตามหาหน้ากากอนามัย” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ จำนวน 1,199 คน พบว่า ประชาชน ร้อยละ 42.7 ระบุว่าปัจจุบันหาซื้อหน้ากากอนามัยไม่ได้เลย รองลงมาร้อยละ 23.2 ระบุว่า หาซื้อได้ยากถึงยากที่สุด ต้องตระเวนหาหลายร้าน หลายจุด และร้อยละ 14.8 ระบุว่าพอหาซื้อได้บ้าง ต้องซื้อ ณ จุด/ร้าน ที่รัฐประกาศขาย
ส่วนความเห็นต่อการจัดการปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนโดยภาครัฐ พบว่าประชาชนร้อยละ 58.0 เห็นว่าอาจเกิดการกักตุนหน้ากากอนามัย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทุนเก็งกำไร ขณะที่ร้อยละ 53.8 เห็นว่าขาดการกระจายสินค้าไปยังร้านค้าปลีก ร้านค้าส่งต่าง ๆ ทั่วประเทศ และร้อยละ 32.3 เห็นว่าระบบการจัดการ อาจกระทบต่อการสาธารณสุข / การรักษาทางการแพทย์
ทั้งนี้เมื่อให้วัดระดับความกังวลถึงผลกระทบต่าง ๆ หากขาดแคลนหน้ากากอนามัย จากเต็ม 5 พบว่า ประชาชนกังวลว่าจะกระทบต่อการแพทย์ สาธารณสุข การรักษาพยาบาล สูงที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.87 ซึ่งอยู่ในระดับ “มาก” รองลงมากังวลว่าจะส่งผลกระทบให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อ COVID-19 มากขึ้น โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.83 ซึ่งอยู่ในระดับ “มาก” และจะส่งผลกระทบให้หน้ากากอนามัยมีราคาสูง/หาซื้อไม่ได้/ผู้มีรายได้น้อยเข้าไม่ถึงโดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.80 ซึ่งอยู่ในระดับ “มาก”
สำหรับสิ่งที่รัฐบาลควรแสดงบทบาทต่อแผนการจัดการหน้ากากอนามัย พบว่า ประชาชนร้อยละ 56.4 ระบุว่ารัฐบาลควรปรับเปลี่ยนให้ผู้มีความรู้ความสามารถมาบริหารจัดการแก้ไขปัญหาหน้ากากอนามัยอย่างมีประสิทธิภาพแทน ร้อยละ 52.6 ระบุให้ลงโทษผู้กักตุนหน้ากากอนามัยด้วยโทษสถานหนัก เพราะมีส่วนทำให้ประชาชนที่ซื้อไม่ได้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และร้อยละ 45.4 ระบุนายกรัฐมนตรีควรลงมาดูและแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ไม่ควรเชื่อเพียงการรายงานว่าหน้ากากอนามัยมีเพียงพอ.-สำนักข่าวไทย