รัฐสภา 27 ก.พ.- สภาฯ ป่วน ฝ่ายค้านวอล์กเอาต์ ฉุนไม่ได้รับเวลาอภิปรายเพิ่ม ฝ่ายรัฐบาลชิงขอมติปิดอภิปราย นายกฯ สัญญากับประชาชนจะทำหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุด
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมาเกิดความวุ่นวายขึ้นเนื่องจากไม่สามารถตกลงเรื่องกรอบเวลากันได้ ฝ่ายรัฐบาลโดยนายวิรัช รัตนเศรษฐ์ ประธายวิปรัฐบาล ยืนกรานต้องให้จบ 19.00 น. ตามที่ตกลงกันไว้ ขณะที่ฝ่ายค้านโดยนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ตัวแทนจากวิปฝ่ายค้าน ยืนยันว่ามีเวลาถึง 23.59 น. เพราะยังมีรัฐมนตรีอีก 2 คน คือพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ยังไม่ได้อภิปราย ทำให้นายสุชาติ ตันเจริญ ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้สั่งพักการประชุมเพื่อตกลงกัน แต่เมื่อเปิดประชุมอีกครั้ง ก็ยังตกลงกันไม่ได้ และไม่ขยายเวลาให้ฝ่ายค้านอภิปราย ฝ่ายค้านไม่พอใจวอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุม ทันที
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อภิปราย โดยย้ำว่ารัฐบาลมีมาตรการเตรียมการรองรับทั้งเรื่องภัยแล้ง ไวรัสโคโรนา และเรื่องการลงทุนต่างๆ ซึ่งเริ่มชัดเจนเมื่อมีงบประมาณปี 2563 ออกมาแล้ว จึงขอชี้แจงเพิ่มเติมเพียงเท่านี้และขอบคุณประชาชน สมาชิกผู้ทรงเกียรติ รวมถึงคนไทยทุกคนที่ร่วมกันรับฟังอภิปรายตลอดระยะเวลา 3 วันที่ผ่านมา ถือว่าทุกคนเป็นคนไทยด้วยกัน ควรร่วมกันรับรู้ข้อเท็จจริง เข้าใจการปฏิบัติงานของรัฐบาล และสภาฯ ที่เลือกตั้งเข้ามา จึงขอขอบคุณประธานรัฐสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคน ที่ให้โอกาสฝ่ายรัฐบาลได้ชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนจะต้องรับฟังข้อมูลของแต่ละฝ่าย และสุดท้ายแล้วแต่ว่าจะเชื่อมั่นในทางใด ด้วยหลักฐาน กระบวนการ วิธีการต่างๆ นั้น
พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า มีความเห็นว่าเราจะต้องปฏิรูปไปด้วยกันในทุกมิติ ทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ดังนั้นการอภิปรายในสภาฯ ครั้งนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างด้วยกัน โดยเฉพาะการรักษากติกา การรักษากฎเกณฑ์ระหว่างกัน บางครั้งอาจจะมีถ้อยคำต่างๆ ที่มีความรุนแรงกันบ้าง แต่ก็ต้องขออภัยประชาชนด้วย ในฐานะที่ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ร่วมกับรัฐบาลทุกคน ซึ่งทุกคนมีส่วนร่วมในการอภิปรายในครั้งนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หลายเรื่องต้องใช้เวลาชี้แจงนานพอสมควร แต่ล้วนเป็นสาระและประโยชน์ซึ่งอธิบายทุกอย่าง ไม่ว่าจะขั้นตอน กระบวนการ และการออกกฎหมายทั้งหมด ซึ่งการทำงานของรัฐบาลวันนี้ ได้เปิดมิติใหม่และร่วมมือกันสร้างความเข้าใจในระบบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายให้ตรงกัน ไม่เช่นนั้น สิ่งที่ต้องการจะแก้ไขเกิดขึ้นไม่ได้ การปฏิรูปจะไม่เกิดขึ้น ขณะนี้มีปัญหาหลายเรื่องหลายประการทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม การลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาความยากจน การสร้างเศรษฐกิจใหม่ การลงทุนเพื่ออนาคตลูกหลาน หากไม่เข้าใจกัน ก็จะทำอะไรไม่ได้เลยได้ ทุกอย่างก็กลับไปที่เดิม
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ตนเองใช้อำนาจตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินทุกประการ และขอขอบคุณอีกครั้ง ยืนยันกับประชาชนว่าจะทำหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุด หากมีสิ่งใดที่จะทำได้เพิ่มเติมจาก จากคำแนะนำของบรรดาสมาชิกผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้แทนของประชาชนที่เลือกเข้ามา โดยตนเองจะทำงานโดยไม่เลือกพื้นที่ ไม่เลือกภาค ให้ทั่วถึงทุกภาค ทุกกลุ่ม ทุกจังหวัด ทุกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน ตามความเร่งด่วน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 5 ปี 7 เดือน จะต้องทำให้ต่อเนื่อง โดยรัฐบาลต้องระมัดระวังเรื่องกฎหมาย ความถูกต้อง ความชอบธรรม และความเท่าเทียมอย่างแท้จริง คำนึงถึงคนทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย เพราะไม่ใช่ศัตรูกัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า เรายังมีปัญหาอีกมาก ปัญหาเก่า ปัญหาใหม่ ปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก คนไทยยุคใหม่ต้องยอมรับว่ามีความคิด กระตือรือร้นในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นหน้าที่พวกเราทุกคนในการช่วยกันสร้างความเข้าใจให้บุคคลเหล่านั้น ยืนยันว่าไม่ใช่ศัตรูกัน ทุกคนล้วนเป็นลูกหลานเราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะใครก็ตาม วันนี้จะต้องนำพาประเทศไปสู่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งทุกคนก็ทราบดีว่าตนเองเข้ามาด้วยวิธีการใด และขอให้คำนึงถึงรัฐธรรมนูญ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่เช่นนั้นปัญหาก็เกิดขึ้นอีก และความสงบสุขจะมากขึ้นจะเป็นเช่น 5 ปี 7 เดือนที่ผ่านมาหรือไม่ ก็ฝากไว้ในมือทุกคน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คำนึงถึงรายได้ของประเทศ ไม่ได้ต้องการรีดภาษีจากคนจน แต่ต้องการจัดรูปแบบอย่างเป็นธรรมมากขึ้น และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ผ่านแรงเสียดทานในระยะเวลา 5 ปี 7 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเผชิญปัญหาหลายประการด้วยกัน และคิดว่าพวกเราทุกคนที่ร่วมมือกันในวันนี้ ตลอด 3 วันที่ผ่านมา ก็คงจะช่วยการทำความเข้าใจ การเมืองก็คือการเมือง การบริหารแผ่นดินก็คือการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งหมดเกี่ยวข้องหมด รวมถึงกระบวนการยุติธรรมด้วย พร้อมย้ำถึงปัญหาที่ต้องจัดการทั้งเรื่องที่ดิน เรื่องการบริหารจัดการน้ำ จึงเป็นเรื่องสำคัญดีกว่าขัดแย้งกันต่อไป สิ่งสำคัญทุกฝ่ายต้องเข้าใจกัน เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ซื่อสัตย์ รักษาสิทธิ์ เคารพกฎหมาย เผื่อแผ่แบ่งปันความดี ตอบแทนแผ่นดินภายใต้พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อนำความสงบสุขของเราคืนมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายกรัฐมนตรีชี้แจงเสร็จเรียบร้อย สมาชิกที่เหลืออยู่ในห้องประชุมได้ลงมติเห็นชอบให้มีการปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เอกฉันท์ 251 งดออกเสียง 7 ไม่ลงคะแนน 2 โดยที่ฝ่ายค้านไม่อยู่กล่าวปิดการอภิปราย ประธานจึงได้สั่งปิดการประชุมทันที โดยมีรายงานข่าวว่า ฝ่ายค้านจะไม่ร่วมลงมติในวันพรุ่งนี้ด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อตรวจสอบจากเอกสารการลงคะแนนพบว่า บุคคลที่ไม่ลงคะแนน 2 คน คือ นายภราดร ปริศนานนันทกุล และนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล จากพรรคภูมิใจไทย.-สำนักข่าวไทย