บุรีรัมย์ 27 ก.พ. – ตาวัย 80 ชาว จ.บุรีรัมย์ บุกร้องศูนย์ดำรงธรรมช่วยเหลือ หลังแบ่งที่ดินทำกินให้ลูกแต่กลับถูกไล่ออกจากบ้าน ไม่เหลียวแล ต้องไปสร้างกระต๊อบเล็กๆ ซุกหัวนอนอยู่ตัวคนเดียว แถมยังถูกลูกตัดน้ำตัดไฟ
นายเที่ยง อุ่นรัมย์ อายุ 80 ปี ชาวตำบลสะแกซำ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เข้าร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดให้ช่วยเหลือ โดยนายเที่ยงให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ว่า เมื่อปี 2557 หลังจากภรรยาเสียชีวิตก็เกิดปัญหาภายในครอบครัวเรื่องที่ดินมรดก เนื่องจากมีที่ดินมรดกซึ่งเป็นชื่อของภรรยาอยู่ 2 แปลง แปลงหนึ่งมีเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินจำนวน 9 ไร่ อีกแปลงเป็น ส.ค.1 เนื้อที่ประมาณ 11 ไร่ โดยแปลงที่เป็นโฉนด ลูก 3 คน จากจำนวนลูกทั้งหมด 6 คน ได้ไปเดินเรื่องทำพินัยกรรมเพื่อแบ่งที่มรดกดังกล่าว ส่วนแปลงที่เป็น ส.ค.1 เมื่อเดือน ก.ย.2562 นายเที่ยง ผู้เป็นพ่อ ได้ให้เจ้าหน้าที่ไปทำการรังวัดเพื่อแบ่งให้ลูกๆ ได้ทำมาหากิน แบ่งเป็น 5 ส่วน เฉลี่ยคนละ 2 ไร่เศษ ในจำนวนนี้เป็นของพ่อที่เก็บไว้ทำกินเอง 2 ไร่เศษ โดยพื้นที่ในส่วนของพ่อก็ได้ปลูกต้นไม้ ทำนา และขุดสระเลี้ยงปลา แต่พอลูกๆ ได้ที่ดินแล้วก็ไล่พ่อออกจากบ้านที่เคยอาศัยอยู่กับแม่ตอนยังมีชีวิต ทั้งที่บ้านหลังดังกล่าวพ่อยังมีชื่อเป็นเจ้าบ้านและเจ้าของบ้านอยู่ จากนั้นผู้เป็นพ่อจึงได้ไปสร้างกระต๊อบเล็กๆ ในที่สาธารณะ เป็นที่ซุกหัวนอนอยู่ตัวคนเดียว โดยขอต่อน้ำต่อไฟมาจากบ้านลูก
ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายเที่ยง ผู้เป็นพ่อ จะไปสูบน้ำออกเพื่อจับปลาในสระของตัวเองไปขาย แต่กลับถูกลูกต่อว่าและห้ามไม่ให้สูบน้ำ ลูกอ้างว่าพ่อไม่มีสิทธิ เพราะสระและที่ดินดังกล่าวเป็นของลูก จนเกิดการโต้เถียงกันรุนแรง ถึงขั้นต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย แต่ลูกเกิดไม่พอใจ จึงตัดน้ำตัดไฟออกจากกระต๊อบที่พ่อปลูกอาศัยอยู่ปัจจุบัน ทำให้ได้รับความเดือดร้อน จึงเข้ามาร้องศูนย์ดำรงธรรมให้ช่วยเหลือ
คุณตาเที่ยงบอกว่า รู้สึกเสียใจมากที่ลูกในไส้ทำกับพ่อบังเกิดเกล้าแบบนี้ ทั้งที่แบ่งที่ดินให้ทำมาหากินแล้วก็ยังมาไล่ตนออกจากบ้าน แถมไม่เคยเหลียวแล หนำซ้ำยังตัดน้ำตัดไฟอีก ตอนนี้เดือดร้อนมาก จึงมาร้องศูนย์ดำรงธรรมให้ช่วยเหลือด้วย เบื้องต้นทางศูนย์ดำรงธรรมจะได้เรียกคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยไกล่เกลี่ย และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามขั้นตอน.-สำนักข่าวไทย