สำนักงานป.ป.ช. 9 ม.ค.-“ษิทรา” ให้ปากคำ พร้อมร้อง ป.ป.ช.สอบ 4 นายพล “พล.ต.อ.จักรทิพย์-พล.ต.ท.ติณภัทร-พล.ต.ท.สมพงษ์-พล.ต.ต.สุรพงษ์” จัดซื้อเครื่องไบโอเมทริกซ์ 2,100 ล้านบาท พร้อมยื่น 13 รายชื่อตำรวจเป็นพยาน เทียบคดี “เสี่ยท็อปกำมะลอ” ต้องเดินผ่านเครื่องถึง 3 รอบ
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อประชาชนและสังคม เดินทางเข้าให้ปากคำกับคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. กรณียื่นเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบการจัดซื้อเครื่องไบโอเมทริกซ์ และรถตรวจการไฟฟ้า ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง วงเงิน 2,100 ล้านบาท
นายษิทรา กล่าวว่า ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2562 ให้ตรวจสอบโครงการไบโอเมทริกซ์ โดย ป.ป.ช. ได้มีหนังสือแจ้งให้ตนเข้าให้ปากคำในวันนี้ พร้อมให้ระบุตัวบุคคลที่ต้องการจะให้สอบสวน ซึ่งตนได้นำเอกสารหลักฐานรายงานการใช้งานเครื่องไบโอเมทริกซ์ จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จังหวัดต่าง ๆ เช่น เชียงใหม่ ตาก เชียงแสน ชลบุรี ซึ่งทั้งหมดพบว่าระบบมีปัญหาไม่สามารถใช้งานได้ตามคุณสมบัติที่ระบุไว้ในทีโออาร์ และรายงานปัญหาดังกล่าวไปยังบริษัทคู่สัญญา แต่ไม่ได้มีการแก้ไขใด ๆ นอกจากนี้ในการส่งมอบงานบางงวดเอกชนยังไม่สามารถส่งมอบงานได้ตามกำหนดนัด แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เซ็นตรวจรับงานให้ก่อน เพื่อไม่ให้เอกชนเสียเงินค่าปรับวันละ 5 ล้านบาท รวมถึงกรณีรถตรวจการไฟฟ้าที่จัดซื้อในราคาคันละ 4 ล้านบาท ที่อาจใช้งานได้ไม่คุ้มค่า และไม่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟได้โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่อาจมีปัญหาสัญญาณอ่อน
นายษิทรา กล่าวว่า ตนจึงขอให้ป.ป.ช.เรียกสอบ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ติณภัทร ภุมรินทร์ ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง ซึ่ง 2 คนนี้เกี่ยวข้องในฐานะผู้อนุมัติการจัดซื้อจัดจ้างโครงการดังกล่าว 3 พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และ 4 พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ในฐานะเป็นผู้ตรวจรับงานโครงการและเป็นผู้ขยายสัญญาให้กับเอกชน โดยเฉพาะพล.ต.ต.สุรพงษ์ ซึ่งย้ายมาจากตำรวจภูธรภาค 7 เพื่อมาตรวจรับงาน งวดที่ 6 โดยเฉพาะ
นายษิทรา กล่าวว่า ได้ขอยื่นเอกสารเพิ่มรายชื่อในบัญชีพยานเป็น 13 ปาก เพิ่มเติมจากที่ก่อนหน้านี้มีเพียง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เพื่อขอให้ป.ป.ช.เรียกมาไต่สวนข้อมูลเพิ่มเติมโดยทั้ง 13 คนประกอบไปด้วยนายตำรวจระดับนายพล 2 คน ระดับนายพัน 10 คน และชั้นประทวน 1 คนโดยทั้งหมดเป็นตำรวจที่เคยเกี่ยวข้องกับการตรวจรับงานโครงการไบโอเมทริกซ์ แต่พบความไม่ชอบมาพากล จึงไม่ได้เซ็นอนุมัติการตรวจรับ และต่อมาตำรวจทั้ง 13 คนถูกย้าย ไปประจำการในตำแหน่งอื่น
“ขอยกตัวอย่างปัญหาการทำงานของเครื่องไบโอเมทริกซ์ ในคดีเสี่ยท๊อปกำมะลอ หรือนายธนณัฎฐ์ สิริปิยพร ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ออกมาให้ข่าวว่าเป็นผลงานของเครื่องไบโอเมทริกซ์ แต่จากข้อมูลเชิงลึกที่ผมตรวจสอบพบว่า ฮ่องกงได้ประสานแจ้งข้อมูลมายังทางการไทย ว่า เสี่ยท็อปจะเดินทางกลับในวันดังกล่าว เจ้าหน้าที่เห็นและจำหน้าได้จึงเอาหมายจับไปแสดงก่อนจะพาเสี่ยท็อปเข้าเครื่องไบโอเมทริกซ์ ซึ่งต้องเดินผ่านเครื่องถึง 3 ครั้ง เครื่องจึงอ่านข้อมูลว่าเป็นเสี่ยท็อป”นายษิทรา กล่าว.-สำนักข่าวไทย