สปสช.3 ม.ค.-คนไทยไร้สถานะปลื้ม อายุ 45 ปีได้มีบัตรประชาชน เผยได้บัตรแค่ 2 วันเข้าโรงพยาบาลใช้สิทธิบัตรทองรักษาอุบัติเหตุกระดูกแตก โล่งใจไปไหนมาไหนไม่ต้องกลัวโดนตำรวจเรียกตรวจเอกสารอีก
น.ส.หนิง เชื้อแสง ประชาชนเขตทวีวัฒนา กทม. อายุ 45 ปี ผู้ซึ่งไม่มีบัตรประชาชนมาตลอดชีวิต เนื่องจากผู้ปกครองไม่ได้ไปแจ้งเกิดและเพิ่งผ่านกระบวนการตรวจสอบต่างๆ จนสามารถทำบัตรประชาชนได้สำเร็จเมื่อไม่กี่เดือนที่่ผ่านมา เปิดเผยว่า หลังจากได้บัตรประชาชนมาแล้วรู้สึกดีใจเพราะขั้นตอนการขอทำบัตรค่อนข้างยาก ต้องมีการสืบประวัติว่าใครเป็นแม่ ต้องตรวจดีเอ็นเอ ตอนตรวจดีเอ็นเอก็ต้องพาแม่ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียงไปเจาะเลือด อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการตรวจก็สูงมาก ดังนั้นพอได้บัตรประชาชนมาแล้วจึงโล่งใจอย่างมาก
น.ส.หนิง กล่าวอีกว่า ผลจากการมีบัตรประชาชนแล้ว ทำให้ปัจจุบันสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องกลัวโดนตำรวจเรียกตรวจเอกสารประจำตัวอีกต่อไป โดยที่ผ่านตนมาไม่ค่อยได้ออกไปไหนเพราะกลัวโดนตำรวจเรียกตรวจแล้วไม่มีเอกสารอะไรมาแสดง กล้าขับจักรยานยนต์ไปได้แค่แถวๆ บ้านตอนกลางวันเท่านั้น กลางคืนก็ไม่กล้าออกเช่นกัน แต่ตอนนี้เอาบัตรประชาชนติดตัวไว้ตลอดเวลา สามารถไปไหนมาไหนได้สะดวกแล้ว
เช่นเดียวกับสิทธิในการรักษาพยาบาล ที่ผ่านมาเวลาไม่สบายก็ไม่กล้าไปโรงพยาบาลเพราะเคยไปแล้วถูกหาว่าเป็นคนต่างด้าว เวลาไปคลินิกแล้วถูกถามถึงบัตรประชาชนก็จะบอกว่าลืมเอาบัตรมา หรือเมื่อตอนที่ตนประสบอุบัติเหตุจักรยานยนต์ล้มขาหักก็ต้องรักษาตัวเอง ไม่กล้าไปโรงพยาบาล แต่ตอนนี้ได้ลองใช้สิทธิบัตรทองแล้ว หลังจากได้บัตรประชาชนมาเพียง 2 วันก็เกิดอุบัติเหตุเตียงเหล็กล้มใส่จนกระดูกนิ้วแตก ไปโรงพยาบาลทางโรงพยาบาลเช็คประวัติแล้วก็บอกว่ายังไม่ได้มีสิทธิบัตรทอง ตนบอกไปว่าไม่เคยทำ เพิ่งได้บัตรประชาชนมา ทางโรงพยาบาลจึงขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรทองให้และได้รักษาฟรี ซึ่งถ้าไม่มีบัตรก็คงเสียเงินอีกเยอะ
“หลังจากนั้นพอไม่สบายก็ไปหาหมอเพราะที่บ้านน้องเลี้ยงสุนัขไว้ด้วยแล้วมักโดนกัด เมื่อก่อนโดนกัด 2 ครั้งก็ต้องรักษาเอง ไม่กล้าไปหาหมอ แต่พอได้บัตรก็ได้ไปหาหมอ ฉีดยากันบาดทะยัก กันโรคพิษสุนัขบ้า สรุปคือมีบัตรประชาชนแล้วดีกว่าไม่มี” น.ส.หนิง กล่าว
ทั้งนี้ น.ส.หนิง ในวัยเด็ก แม่นำไปฝากให้ยายเลี้ยงที่ จ.ปราจีนบุรี จนอายุประมาณ 5-6 ขวบ ก็ไปรับตัวกลับมาเลี้ยงอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ไม่ได้ส่งเสียให้เข้าโรงเรียนและไม่พาไปทำบัตรประชาชน เมื่อสอบถามจึงทราบว่ายายไม่ได้ไปแจ้งเกิดให้ ให้อยู่ด้วยกันแม่และน้องกันไปอย่างนี้ จนปัจจุบันก็ยังอาศัยอยู่กับน้องและไม่เคยมีชื่อจริงนอกจากชื่อหนิง ซึ่งแม่เรียกมาตั้งแต่เด็ก เมื่อมีบัตรประชาชนแล้วชื่อในบัตรประชาชาชนจึงใช้ชื่อว่า น.ส.หนิง นั่นเอง .-สำนักข่าวไทย