กรุงเทพฯ 31 ธ.ค.-กรมการขนส่งทางบก ห่วงใยประชาชน ย้ำ!!!
เมาแล้วอย่าขับ กลับบ้านปลอดภัย ส่วนมาตรการตรวจจับความเร็วรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุกด้วยกล้องเลเซอร์
และผ่านระบบ GPS Tracking
เผย 5 วัน( 26- 30 ธ.ค.62) พบการใช้ความเร็วเกินกำหนด รวม 23,003 คัน
นายจิรุตม์
วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า
เพื่อให้การเดินทางบนท้องถนนช่วงเทศกาลปีใหม่มีความปลอดภัยสูงสุดในระหว่างนี้ที่ประชาชนส่วนใหญ่เดินทางกลับถึงภูมิลำเนาแล้ว
และอยู่ระหว่างการเฉลิมฉลอง วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และวันที่ 1 มกราคม 2563
กรมการขนส่งทางบกขอให้ขับขี่ทุกราย
ลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนจากการเมาแล้วขับ
โดยห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งช่วงก่อนและขณะขับรถ
เนื่องจากจะทำให้ประสิทธิภาพในการขับขี่ลดลง
และไม่สามารถแก้ไขเหตุฉุกเฉินเฉพาะหน้าได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้หากต้องดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ต้องไม่ขับรถอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
และมีพฤติกรรมการขับรถที่ไม่ปลอดภัย เช่น ขับรถคร่อมช่องทาง เปลี่ยนช่องทางไปมา
ขับรถย้อนศร เฉี่ยวชนวัตถุริมข้างทาง และขับรถฝ่าสัญญาณไฟจราจร
ซึ่งเป็นอันตรายกับเพื่อนร่วมทาง
ทั้งนี้หากจำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ควรให้เพื่อนที่ไม่ดื่มขับรถแทน หรือใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก
กล่าวด้วยว่า สำหรับพฤติกรรมการขับรถด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในอันดับต้นๆ กรมการขนส่งทางบก
มีมาตรการตรวจสอบการใช้ความเร็วบนท้องถนน ด้วยการตั้งจุด“ตรวจความพร้อมรถโดยสารสาธารณะ 17 จังหวัด จำนวน 18 จุด” ณ จุดจอดพักรถ (Rest Area) ตรวจความพร้อมของรถและพนักงานขับรถ
รวมถึงตรวจการใช้อุปกรณ์หรือเครื่องรบกวนสัญญาณหรือตัดสัญญาณ GPS ซึ่งตรวจพบรถที่ติดตั้งการใช้อุปกรณ์หรือเครื่องรบกวนสัญญาณหรือตัดสัญญาณ
GPS จำนวน 2 คัน
ด้วย ที่จุดตรวจจังหวัดชัยนาท จึงได้ดำเนินการสั่งพ่นห้ามใช้ทันที
ส่วนผลการดำเนินการติดตามตรวจสอบการเดินรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุกด้วยระบบ
GPS Tracking ผ่านศูนย์บริหารจัดการเดินรถด้วยระบบ GPS ระหว่างวันที่ 26- 30 ธันวาคม 2562 ตรวจรถทั้งหมดจำนวน 427,255 คัน พบการใช้ความเร็วเกินกำหนดจำนวน 22,510 คัน โดยศูนย์ฯ GPS แต่ละจังหวัด
พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตรวจการขนส่งทางบก ลงพื้นที่ตรวจสอบและยับยั้งพฤติกรรมเสี่ยง
พร้อมประสานผู้ประกอบการและผู้ขับรถให้รับทราบปัญหาและหามาตรการแก้ไขปัญหาในระยะยาวอย่างยั่งยืน
แต่หากเป็นการกระทำผิดซ้ำซากพิจารณาลงโทษตามกฎหมายขั้นสูงสุดต่อไป
นอกจากนี้ยังได้จัดหน่วยเคลื่อนที่ตรวจสอบการใช้ความเร็วของรถตาม
พ.ร.บ.การขนส่งทางบก ด้วยกล้องเลเซอร์บนถนนสายหลักและสายรองที่มุ่งหน้าออกจากกรุงเทพมหานคร
ผลการดำเนินการเฉพาะวันที่ 26- 30
ธันวาคม 2562 ตรวจสอบความเร็วรถโดยสารและรถบรรทุกจำนวน
20,461 คัน
มีรถที่ขับเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จำนวน 493 คัน
เร่งติดตามตัวผู้กระทำความผิดให้เข้ามารายงานตัวเพื่อชำระค่าปรับตามกฎหมาย
ซึ่งมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 5,000
บาท
พร้อมบันทึกประวัติไว้ที่ศูนย์ข้อมูลประวัติผู้ขับรถสาธารณะเพื่อตรวจสอบและป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำความผิดซ้ำ
รวมทั้งขอฝากเตือนไปยังผู้ประกอบการขนส่งหรือผู้ขับรถบางรายที่หลบเลี่ยงการส่งข้อมูลการใช้รถโดยใช้อุปกรณ์หรือเครื่องรบกวนสัญญาณหรือตัดสัญญาณ
GPS ทำให้ข้อมูล พิกัด
ตำแหน่งเคลื่อนที่ของรถไม่สามารถส่งข้อมูลมายังศูนย์บริหารจัดการเดินรถระบบ GPS การกระทำดังกล่าวมีความผิดตามกฎหมายทั้งผู้ขายและผู้ใช้
ผู้ขับรถมีความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงความปลอดภัยในการขนส่ง ไม่ใช้เครื่องอุปกรณ์และส่วนควบของรถตามที่กฎหมายกำหนด
ตามมาตรา 102 (4) ประกอบมาตรา 127 แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ส่วนผู้ประกอบการขนส่งมีความผิดฐานไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงความปลอดภัยในการขนส่ง
ไม่จัดทำรายงานข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการขนส่งและไม่ควบคุมกำกับดูแลให้ผู้ขับรถใช้เครื่องอุปกรณ์และส่วนควบของรถตามที่กฎหมายกำหนด
ตามมาตรา 36 ประกอบกับมาตรา 131 แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 และอาจพิจารณาพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการขนส่ง.-สำนักข่าวไทย