อิสตันบูล 16 พ.ย.- “จุรินทร์ “นำทัพลุยตลาดตุรกี-เยอรมัน ประเดิมเซ็นเอ็มโอยูขายข้าว มัน ยางและหมอนยางพารา กว่า 15,512 ล้านบาททันที แถมเร่งเจรจากรอบ FTA ไทย-ตุรกี ให้เสร็จกลางปีหน้า เชื่อดันยอดการค้าเพิ่มได้แน่นอน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยในระหว่าง นำคณะภาครัฐและภาคเอกชนเดินทางเยือนประเทศตุรกี และเยอรมนี ระหว่างวันที่ 15-19 พ.ย.ว่า เป็นการเร่งสำรวจตลาด และความต้องการในสินค้าเกษตรของไทย ในตลาดต่างประเทศ สนับสนุนการขยายการส่งออก โดยตุรกี เป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเป็นประตูการค้าสู่ตะวันออกกลาง ยุโรป และ กลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) ปัจจุบันไทยอยู่ระหว่างการเจรจาการค้าเสรี( FTA )กับตุรกี ซึ่งสินค้าที่คาดว่าไทยจะได้ประโยชน์ เช่น ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง พาหนะและชิ้นส่วน ตู้เย็น พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า
นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้ ( 16 พ.ย.) ตนได้เป็นประธานการลงนามข้อตกลงเบื้องต้น หรือ MOU ในกลุ่มสินค้ายางพารา และผลิตภัณฑ์ สินค้าอาหาร ระหว่างนักธุรกิจไทยและตุรกี โดยรวมยอดเฉพาะช่วงเช้าวันนี้ (16 พ.ย.) ขายยางพารา 60,000 ตัน มูลค่า 2,727 ล้านบาท ข้าว 6,000 ตัน มูลค่า 85 ล้านบาท และมันสำปะหลัง 150,000 ตัน มูลค่า 650 ล้านบาท และซอลปรุงรส 10 ล้านบาท รวม มูลค่าเบื้องต้น 3,512 ล้านบาท และตุรกียังมีคำสั่งซื้อหมอนยางพาราสำเร็จรูปของไทยเพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 20 ล้านใบ หรือเป็นยอดเงินกว่า 12,000 ล้านบาท ทำให้ยอดมูลค่าการค้ากับตุรกีครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 15,512 ล้านบาท ซึ่งจะมีการส่งมอบยางพาราได้ในช่วงเดือนธันวาคมนี้
ตุรกี เป็นประเทศที่มีตลาดขนาดใหญ่มีประชากรมากถึง 80 ล้านคนมีนักท่องเที่ยวมาเยือนในแต่ละปีมากกว่า 40 ล้านคนและตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ทางการค้าที่มีความสำคัญเป็นประตูสู่ 3 ทวีป คือทั้งทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกาสามารถเชื่อมต่อการค้าได้ทั้งทางด้านเหนือ-ใต้-ตะวันตก-ตะวันออก และยังมีความสำคัญทางการค้ากับตะวันออกกลางด้วย ในขณะที่ไทยอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์เป็นประตูไปสู่ทวีปเอเชีย มีเส้นทางการค้าที่สะดวกเชื่อมต่อไปยัง จีนอินเดีย และอาเซียน ซึ่งนักธุรกิจทั้งไทย2 ประเทศสามารถใช้กันและกันเชื่อมต่อการค้า
“ผมได้คุยกับท่านปลัดตั้งเป้าหมายว่าอยากจะเห็น FTA ไทย ตุรกีเสร็จในกลางปีหน้า ซึ่งการทำ FTA นั้นแม้ว่าทั้งไทยและตุรกีจะมีศักยภาพในอุตสาหกรรมเดียวกันและมีความใกล้เคียงกัน แต่ก็จะเป็นการเกื้อกูลกัน ซึ่งก็คาดว่าในกลางปี 2565 การค้าระหว่างไทยตุรกีจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ”นายจุรินทร์ กล่าว
สำหรับการลงนาม MOU ระหว่างนักธุรกิจไทยและตุรกี ประกอบด้วย ผู้ส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ไทย บริษัทไทยฮั้ว จำกัด(มหาชน) กับ บริษัท KOLSAN TYPE , บริษัทไทยฮั้ว จำกัด(มหาชน) กับ บริษัท Sayeste Kaucak ,การยางแห่งประเทศไทย กับ Turkish Rubber Association ,การยางแห่งประเทศไทย กับ REP Kaucak ,ผู้ส่งออกข้าวไทย บริษัท โตมี อินเตอร์เทรด จำกัด กับ บริษัท Dervisoglu ,ผู้ส่งออกข้าวไทย บริษัท เอส อินเตอร์ ไรซ์ จำกัด กับ บริษัท Harbiyeli ,ผู้ส่งออกมันสำปะหลังไทย บริษัท SB Premier Product จำกัด กับ บริษัท Argo Pacific ,ผู้ส่งออกมันสำปะหลังไทย บริษัท Chaiyong Agricultural Silo จำกัด กับ บริษัท Argo Pacific ,ผู้ส่งออกมันสำปะหลังไทย บริษัท Thong Tapioca (1999)จำกัด กับ บริษัท Argo Pacific และ ผู้ส่งออกไทย บริษัท สุรีย์ อินเตอร์ฟู้ดส์ จำกัด กับ บริษัท Dolfin Gida เป็นต้น
ทั้งนี้ ตุรกีเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 36 ของไทย ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย. 2562) ไทยส่งออกสินค้าไปตุรกีคิดเป็นมูลค่า 1,082.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 21.69 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็น ผลสืบเนื่องจากค่าเงินลิร่าอ่อนค่าและสหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กจากตุรกี สินค้าที่ไทยส่งออกไปตุรกี 5 อันดับแรก คือ 1.รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 2. ยางพารา 3.เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 4. เส้นใยประดิษฐ์ 5. ผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย