คุมเข้มความปลอดภัยศาล

กทม. 13 พ.ย. – เหตุยิงกันตายภายในห้องพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดจันทบุรี และเหตุแทงตำรวจศาลในศาลจังหวัดพัทยา ทำให้ประธานศาลฎีกาออกคำสั่งเพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยของศาลทั่วประเทศ เน้นตรวจเข้มทั้งญาติและนักโทษ


15.30 น. วันที่ 4 พฤศจิกายน ผู้ต้องหาคดียาเสพติด 3 คน ก่อเหตุใช้มีเแทงตำรวจประจำศาลจังหวัดพัทยาบาดเจ็บสาหัส ก่อนใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าเปิดทางหลบหนี โดยอาวุธทั้งสองชนิด ญาติเป็นผู้นำมาให้ในระหว่างเข้าเยี่ยมในห้องขังใต้ถุนศาล


อีก 10 วันต่อมา เวลา 09.30 น. ภายในห้องพิจารณาคดีของศาลจังหวัดจันทบุรี อดีตรองจเรตำรวจแห่งชาติวัย 67 ปี ใช้อาวุธปืนกล็อก 9 มม. จ่อยิงคู่กรณีเสียชีวิตทันที 2 คน บาดเจ็บสาหัสอีก 2 ส่วนอดีตรองจเรตำรวจถูกเสมียนทนายคู่กรณี จบชีวิตด้วยอาวุธปืนของตำรวจศาล


ทั้งสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ และสถานที่เกิดเหตุคือศาล ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัยสูงสุดสถานที่หนึ่ง เหตุการณ์ความรุนแรงทั้งสองกรณีจึงกลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจและกังขาถึงการดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนที่มาติดต่อราชการ 

เลขานุการประธานศาลฎีกา ยอมรับว่า ตลอดระยะเวลา 32 ปี ที่รับราชการในศาลยุติธรรม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ศาลจังหวัดจันทบุรีร้ายแรงที่สุด เพราะที่ผ่านมาเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ประธานศาลฎีกาจึงมีคำสั่งให้เพิ่มกำลังตำรวจศาลเข้ามาดูแลความปลอดภัยในศาลทั่วประเทศ พร้อมทั้งให้ตรวจสอบว่าเหตุดังกล่าว เกิดขึ้นจากสาเหตุใด

เลขานุการประธานศาลฎีกา ย้ำว่า คดีฆาตกรรมในศาลจังหวัดจันทบุรี เป็นกรณียกเว้น ไม่สามารถฟันธงได้ว่าระบบรักษาความปลอดภัยศาลไม่ดี เพราะกรณีนี้ผู้ก่อเหตุเป็นถึงอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่  ย่อมรู้เรื่องระบบรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี รู้วิธีการหลบหลีกเครื่องตรวจจับอาวุธ และอาศัยช่วงจังหวะเวลาขณะที่พนักงานรักษาความปลอดภัยกำลังเคารพธงชาติเดินเข้าพื้นที่ห้องพิจารณา  

สำหรับมาตรการดูแลความปลอดภัยภายในศาลอาญาทั่วประเทศจากนี้ไปจะต้องมีความรอบคอบและรัดกุมมากขึ้นอีกหนึ่งระดับ เพิ่มกำลังตำรวจศาลให้มากขึ้น พร้อมประสานตำรวจท้องที่ขอกำลังเข้ามาช่วยดูแลความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีกระดับ และต้องตรวจค้นร่างกายของนักโทษหรือผู้ต้องขังอย่างละเอียด เช่นเดียวกับญาติและผู้มาติดต่อศาล โดยเฉพาะสัมภาระ จะต้องดูอย่างรอบคอบ พร้อมย้ำเหตุการณ์ในลักษณะนี้ต้องไม่เกิดขึ้นอีก. – สำนักข่าวไทย 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พ่อเลี้ยงล่วงละเมิด

“ต้นอ้อ” แฉพิรุธพ่อเลี้ยงปมคลิปเสียง-DNA ส่วนเด็กอาการดีขึ้น

“ต้นอ้อ” แฉพิรุธพ่อเลี้ยงปมคลิปเสียง-DNA เชื่อ แม่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แค่เชื่อผัวเพราะลูกเคยโกหก เผย ตอนแม่รู้ความจริงว่าใครทำลูกถึงกับร้องไห้โฮโผกอดลูก ส่วนเด็ก 10 ขวบอาการดีขึ้น แต่ต้องรักษาตัวอีกหลายสัปดาห์

งานแต่งธนกร

วิวาห์ชื่นมื่น “ธนกร-แคทลีน” คนดังการเมือง-นักธุรกิจ ร่วมยินดีครึกครื้น

งานวิวาห์ “ธนกร-แคทลีน” ชื่นมื่น คนดังการเมือง-นักธุรกิจ ร่วมยินดีครึกครื้น ด้าน “ทักษิณ” ไม่ได้มาร่วม แต่ส่งของขวัญแสดงความยินดี

ทรัมป์สั่งปลด

“ทรัมป์” สั่งปลดประธานคณะเสนาธิการร่วมตามแผนปรับปรุงกลาโหม

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ออกคำสั่งในวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่นปลด พลอากาศเอก ซี. คิว. บราวน์ จูเนียร์ (Charles Quinton Brown Jr.) เป็นประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐออกจากตำแหน่ง

ข่าวแนะนำ

“ทักษิณ” ถึงนราธิวาส กลับมาในรอบ 19 ปี

“ทักษิณ” ถึงนราธิวาส บอกคนนราธิวาสน่ารักเสมอ ต้อนรับอบอุ่นกับการกลับมาในรอบ 19 ปี ก่อนเดินทางต่อตามกำหนดเดิม แม้มีระเบิดที่สนามบิน

บึ้มรถกระบะ สนามบินนราธิวาส ก่อน “ทักษิณ” ลงพื้นที่

บึ้มรถกระบะจอดใกล้กับหอบังคับการบิน ท่าอากาศยานนราธิวาส ก่อน “ทักษิณ” ลงพื้นที่สนามบินบ้านทอน ในอีก 50 นาที ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ

น้ำป่าหลากท่วม อ.ไทรโยค กลางดึก

ระทึกกลางดึก น้ำป่าหลากท่วมบ้านเรือนประชาชน อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ถนนหลายเส้นถูกน้ำป่าพัดขาด จนท.เร่งอพยพประชาชนด้วยความยากลำบาก

Pope at Vatican on Feb 5, 2025 says have a strong cold

โป๊ปฟรันซิสพระอาการวิกฤต

วาติกัน 23 ก.พ.- พระอาการประชวรของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส พระประมุขแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ทรุดลงอยู่ในขั้นวิกฤตในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา สำนักวาติกันออกแถลงการณ์ฉบับล่าสุดเมื่อวันเสาร์ว่า พระอาการประชวรของสมเด็จพระสันตะปาปาทรุดลงในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และระบุเป็นครั้งแรกว่า พระอาการของพระองค์อยู่ในขั้นวิกฤตจากโรคระบบทางเดินหายใจคล้ายกับโรคหอบหืดในช่วงเช้าวันเสาร์ ทำให้ขณะนี้พระองค์จำเป็นต้องได้รับออกซิเจนเสริมและการถ่ายเลือด โดยรวมแล้วถือว่า พระอาการอยู่ในขั้นวิกฤตและยังไม่พ้นขีดอันตราย อย่างไรก็ดี พระองค์ยังทรงตื่นตัว และประทับนั่งบนเก้าอี้ตลอดวัน แม้ว่าทรงประชวรมากกว่าวันก่อนหน้านี้ก็ตาม พระสันตะปาปาฟรันซิส พระชนมายุ 88 พรรษา ทรงเข้ารับการถวายการรักษาที่โรงพยาบาลเจเมลลี ในกรุงโรม ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ หลังทรงมีพระอาการหายใจติดขัดต่อเนื่องหลายวัน และตรวจพบว่าปอดอักเสบทั้งสองข้าง ทรงร้องขอให้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับพระอาการของพระองค์อย่างตรงไปตรงมา สำนักวาติกันจึงออกแถลงการณ์ชี้แจงความคืบหน้าอาการประชวรของพระองค์ต่อเนื่องทุกวัน แต่แถลงการณ์ฉบับล่าสุดถือเป็นครั้งแรกที่มีเนื้อหาระบุชัดเจนว่า อาการประชวรของพระองค์อยู่ในขั้นวิกฤต ขณะที่แพทย์คาดการณ์ว่า พระองค์จะต้องประทับอยู่ในโรงพยาบาลอย่างน้อยตลอดสัปดาห์หน้า ภารกิจต่อสาธารณชนทั้งหมดของพระสันตะปาปาจึงถูกยกเลิกตลอดสัปดาห์ ทั้งพิธีมิสซาประจำวันอาทิตย์ รวมถึงการสวดภาวนาแองเจลัส (Angelus) ตามปกติทุกสัปดาห์ด้วย.-815(814).-สำนักข่าวไทย