ทำเนียบฯ 21 ต.ค.-ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เห็นชอบแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบฯ ปี 2562-2563 และให้จัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน 10,000 ล้านบาทในการดำเนินงานโครงการสนับสนุน SME รายย่อย
นายสุวรณชัย โลหะวัฒกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมเห็นชอบแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณปี 2562-2563 และให้จัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการสนับสนุน SME รายย่อย กรอบวงเงินงบประมาณ 10,000 ล้านบาท ภายใต้มาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ
นายสุวรรณชัย กล่าวว่า สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ได้กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการดำเนินงานโครงการสนับสนุน SME รายย่อย กำหนดแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณปี 2562-2563 โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีรายได้ไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี คาดว่าจะมีผู้ได้รับอนุมัติวงเงินสินเชื่อ จำนวนไม่น้อยกว่า 12,250 ราย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ กรณีบุคคลธรรมดา วงเงินกู้ไม่เกิน 500,000 บาท กรณีนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม วงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 7 ปี ระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้นไม่เกิน 1 ปี ทั้งนี้จะต้องมีบุคคลค้ำประกัน และเป็นผู้ที่ไม่เคยเป็นผู้ได้รับการช่วยเหลือเงินทุนในโครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม โครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอี ตามแนวประชารัฐ โดย ธพว.เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำนินการได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 – ตุลาคม 2563
นายสุวรรณชัย กล่าวอีกว่า สสว.คาดว่า โครงการดังกล่าว เพื่อนำไปปรับปรุง ซ่อมแซม ขยายกิจการ ยกระดับการพัฒนาการให้บริการและขยายกำลังการผลิต ซึ่งจะทำให้กิจการสามารถดำเนินงานต่อไปได้ส่งผลให้มีรายได้สูงขึ้น ทั้งนี้ เชื่อว่าจะทำให้ระบบเศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนของเงินทุนในระบบสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผู้ประกอบการ SMEs รายย่อย ภายใต้โครงการมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 20% นอกจากนี้ยังเป็นการรักษาการจ้างงาน หรือเกิดการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้นด้วย.-สำนักข่าวไทย