fbpx

ครม.ทุ่ม 24,000 ล้านประกันรายได้ยางพารา

ทำเนียบรัฐบาล 16 ต.ค. – ครม.ไฟเขียวโครงการประกันรายได้ชาวสวนยางพารา ยางแผ่นคุณภาพดี 60 บาทต่อกิโลกรัม ยางสด 57 บาทต่อกิโลกรัม และยางก้อนถ้วย 23 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมอนุมัติ 4 โครงการช่วยเพิ่มการใช้ยางในประเทศ


นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (15 ต.ค.) ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางพาราระยะที่ 1 ด้วยงบประมาณรวม 24,000 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางมีรายได้ที่แน่นอนจากการประกันรายได้ และมีความมั่นคงในอาชีพเกษตรกรชาวสวนยาง ซึ่งจะครอบคลุมเกษตรกรจำนวน 1.4 ล้านคน ที่ปลูกยางพารารวม 17 ล้านไร่

โครงการประกันรายได้เกษตรกรระยะที่ 1 กำหนดระยะเวลาประกันรายได้ไว้ที่ 6 เดือนเริ่มตั้งแต่ตุลาคม 2562 ถึงเดือนมีนาคม 2563 โดยประกันรายได้ในยาง 3 ชนิดคือ ยางแผ่นดิบคุณภาพดี ราคา 60 บาทต่อกิโลกรัม น้ำยางสด DRC 100%  ราคา 57 บาทต่อกิโลกรัม และยางก้อนถ้วย DRC 50% 23 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ กำหนดปริมาณผลผลิตยางที่จะประกันรายได้ไว้ที่ 240 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปีหรือ 20 กิโลกรัมต่อไร่ต่อเดือน


สำหรับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องขึ้นทะเบียนและแจ้งข้อมูลพื้นที่ปลูกยางกับการยางแห่งประเทศไทยก่อนวันที่ 12 สิงหาคม 2562 และเปิดโอกาสให้เกษตรกรชาวสวนยางแจ้งขึ้นทะเบียนเพิ่มเติมตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่การยางกำหนดโดยเป็นสวนยางอายุ 7 ปีขึ้นไปเปิดกรีดแล้วสูงสุดท้ายละไม่เกิน 25 ไร่

ทั้งนี้ การจ่ายเงินประกันรายได้เกษตรกรกำหนดจ่ายให้เร็วขึ้นจากเดิมที่กำหนดจ่าย 2 เดือน 1 ครั้ง โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรชาวสวนยาง ดังนี้ ประกันรายได้เดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2562 จ่ายงวดที่ 1 ระหว่างวันที่ 1-15 พฤศจิกายน 2562 ประกันรายได้เดือนธันวาคม 2562 ถึงมกราคม 2563 จ่ายงวดที่ 2 ระหว่างวันที่ 1-15 มกราคม 2563 และประกันรายได้เดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2563 จ่ายงวดที่ 3 ระหว่างวันที่ 1 ถึง 15 มีนาคม 2563 การแบ่งสัดส่วนรายได้เจ้าของสวนจะได้ร้อยละ 60 และคนกรีดยางได้ร้อยละ 40 ทั้งนี้ ครม.เห็นชอบให้ใช้เงินทุนของธ.ก.ส.สำรองจ่ายไปก่อนและให้ธ.ก.ส.เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 และปีถัดไปตามความเหมาะสมเพื่อชำระคืนเงินต้นและค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกิดขึ้นจริง


ทั้งนี้ ครม. ยังอนุมัติอีก 4 โครงการที่นำไปสู่การที่จะช่วยเพิ่มปริมาณการใช้และยกระดับราคายางพาราในประเทศ คือ ขยายวงเงินสินเชื่อ โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง วงเงิน 15,000 ล้านบาท  อนุมัติวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมอีก 10,000 ล้านบาท รวมวงเงินสินเชื่อ 25,000 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการขยายกำลังการผลิตหรือปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิตที่ตั้งเดิมหรือที่ตั้งใหม่ ให้แก่ผู้ประกอบการขั้นปลายน้ำ เช่น ถุงมือยาง ยางยืด ยางล้อ ยางที่ใช้ในงานวิศวกรรม เป็นต้น ให้มีการแปรรูปเพิ่มขึ้นจาก 60,000 ตันเพิ่มเป็น 100,000 ตันต่อปี ระยะเวลาดำเนินโครงการเริ่มปี 2563-2569   

นอกจากนี้ ยังอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อ เงินทุนหมุนเวียนผู้ประกอบกิจการยางแห้ง วงเงิน 20,000 ล้านบาท ออกไปอีก 2 ปี ตั้งแต่มกราคม 2563 – เดือนธันวาคม 2564 จากเดิมจะสิ้นสุดเดือนธันวาคมปีนี้ ซึ่งจะช่วยผลักดันราคายางหรือทำให้สูงกว่าต้นทุน ช่วยลดภาระงบประมาณจัดซื้อยางและจัการสตอกของรัฐบาล และช่วยดูดซับผลผลิตยางแห้งร้อยละ 11 จากผลผลิตยางแห้งทั้งปี 3.2 ล้านตัน ขยายโครงการสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนสถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยาง วงเงิน 10,000 ล้านบาทออกไปอีก 4 ปี ตั้งแต่ 1 เมษายน 2563 ถึง 31 มีนาคม 2567 โดยมีระยะเวลาจ่ายเงินกู้ตั้งแต่ 1 เมษายน 63 ถึง 31  ธ.ค.2566 เพื่อสนับสนุน สินเชื่อแก่สหกรณ์ทุกประเภท กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนที่มีการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพารา โดยกู้เงินจาก ธ.ก.ส. และขยายระยะเวลาและปรับปรุงวิธีการดำเนินงาน โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐออกไปอีก ๓ ปี เริ่มตั้งแต่ ตุลาคม 2562 เดือนกันยายน 2565 โดยตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการกำกับดูแล และให้หน่วยงานภาครัฐใช้วัตถุดิบยางพาราหรือผลิตภัณฑ์ยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย และยางพาราของรัฐที่การยางเก็บไว้ ทำให้ภาครัฐใช้ยางพาราได้มากขึ้นดูดซับได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม . – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

มหาวิทยาลัยแจงเหตุ นศ.สาวปี 3 แทงแฟน นศ.ปี 1 สาหัส

มหาวิทยาลัยออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีนักศึกษาหญิงทำร้ายนักศึกษาชาย ในหอพักจนบาดเจ็บสาหัส ด้านตำรวจยืนยันนักศึกษาหญิงที่ก่อเหตุมอบตัวแล้ว ยอมรับเป็นแฟนและทะเลาะกัน

รวบผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าหั่นศพที่นนทบุรี นำตัวเข้าเซฟเฮาส์

รวบตัวชายไทย อายุประมาณ 35-40 ปี ต้องสงสัยคดีฆ่าหั่นศพ ภายในซอยจัดสรรสวิง 2 ถนนบ้านกล้วย-ไทรน้อย ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ตำรวจนำตัวเข้าเซฟเฮาส์ อยู่ระหว่างสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน

ผู้ว่าการ ธปท.เตือน ครม. หวั่นดิจิทัลวอลเล็ตก่อหนี้จำนวนมาก

ทำเนียบฯ 24 เม.ย.- ผู้ว่าการ ธปท. ทำหนังสือถึง ครม. เตือนเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท หวั่นก่อหนี้จำนวนมาก นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 22 เมษายน 2567 เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 23 เม.ย.2567 มองว่า โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เป็นโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ  ต้องใช้เงินจำนวนมาก อาจก่อให้เกิดภาระหนี้ผูกพันต่อรัฐบาลในอนาคตดังนี้ 1.ความจำเป็น โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท และผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ ควรดูแลครอบคลุมเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย  เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิผลคุ้มค่า และใช้งบประมาณลดลง  โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เช่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ 15 ล้านคน ซึ่งดำเนินการได้ทันที และใช้งบประมาณเพียง 150,000 ล้านบาท และควรทำแบบแบ่งเป็นระยะ (phasing) เพื่อลดผลกระทบต่อเสถียรภาพการคลัง  […]

ข่าวแนะนำ

คุมเพลิงไหม้ “วิน โพรเสส” ได้แล้ว 95%

เหตุไฟไหม้โรงงานเก็บขยะเคมีอันตราย วินโพรเสส อ.บ้านค่าย จ.ระยอง วันนี้ เจ้าหน้าที่ควบคุมเพลิงได้แล้ว 95% เหลือเพียงจุดความร้อนที่อยู่ใต้ซากกองเพลิง ซึ่งยังต้องใช้สาร F500 ฉีดลดความร้อน แต่ยังมีกลิ่นฉุนแอมโมเนีย ด้านกรมโรงงานอุตสาหกรรมเช็กกล้องวงจรปิดตรวจสอบว่าเป็นการวางเพลิงเพื่อทำลายหลักฐานเช่นเดียวกับเหตุที่เกิดขึ้นใน อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา หรือไม่

นายกฯ แจงเรียก “สุชาติ-รัฐมนตรี” เข้าพบ แค่ตามงาน

นายกฯ อารมณ์ดี เดินลงตึกไทยฯ พบสื่อ แจงเรียก “สุชาติ-รมต.” มีชื่อหลุด ครม.เข้าพบแค่ตามงาน ย้ำปรับ ครม.เสร็จเมื่อไหร่เดี๋ยวก็รู้ ยันกินข่าวเที่ยงวานนี้ไม่มี ”ทักษิณ“

รวบ 2 ใน 4 อุ้มฆ่าหนุ่มไทใหญ่ทิ้งป่า อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

รวบแล้ว 2 ใน 4 ผู้ต้องหาอุ้มฆ่า “จ๋อมวัน” หนุ่มไทใหญ่ ก่อนนำศพไปทิ้งในป่าที่ จ.เชียงใหม่ ปมสังหารอ้างไม่พอใจถูกแซวเรื่องหญิงคนสนิท

ดวงอาทิตย์ตั้งฉาก กทม.ครั้งแรกของปี

วันนี้เป็นครั้งแรกของปีที่ดวงอาทิตย์จะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งตั้งฉากกับพื้นที่ กทม. ส่งผลให้ดวงอาทิตย์เคลื่อนผ่านใกล้จุดเหนือศีรษะ หรือตั้งฉากกับพื้นที่บริเวณต่างๆ ของไทย 2 ครั้งต่อปี คือช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. และเดือน ก.ค.-ก.ย.