สมาคมฯ ร่วมกับ กกท.หารือ การปรับปรุงสนาม ยู23 และ การหาสนามทดแทน

วันที่ 18 กันยายน 2562  สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ –  จัดประชุม เพื่ออัพเดตความคืบหน้าเรื่องการปรับปรุงสนามแข่งขันที่จะใช้รองรับในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี รอบสุดท้าย ในช่วงเดือนมกราคม 2563 รวมถึงการหาสนามทดแทน สนาม สมโภช 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่ การประชุมในครั้งนี้ พล.ต.อ. ดร. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฯ เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย วิษณุ ไล่ชะพิษ รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (ฝ่ายส่งเสริมการกีฬา) , ทนุเกียรติ จันทร์ชุม ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาอาชีพและกีฬามวย , อำพล พงศ์สุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา, ประพันธ์ ศรีสุวรรณ ปลัด อบจ.สงขลา ปฏิบัติหน้าที่แทน นายก อบจ. สงขลา และตัวแทนจาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ตัวแทนจากบริษัท เค.บี.เอ็ม เทคโนโลยีส์ จำกัด รวมถึง ตัวแทนจากสโมสร อย่าง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด


หลังการประชุม พล.ต.อ. ดร. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฯ กล่าวว่า “ทางสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้เชิญตัวแทนของหน่วยงาน และ สโมสรที่จะมีส่วนในการจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ในช่วงเดือนมกราคม ซึ่งประกอบไปด้วย ตัวแทนจากการกีฬาแห่งประเทศไทย, องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด”


“เนื่องจากสาเหตุที่ การกีฬาแห่งประเทศไทย ไม่สามารถปรับปรุงสนาม สมโภช 700 ปี เชียงใหม่ ได้ทัน เพื่อที่จะใช้ในการแข่งขันฟุตบอลรายการดังกล่าว เราจำเป็นต้องพิจารณา สนามอื่นที่เป็นสนามของสโมสรมาทดแทน ในขณะเดียวกัน เราก็ให้ตัวแทนทุกหน่วยงาน ชี้แจงความคืบหน้า และความพร้อมในการปรับปรุงสนาม และก็ยืนยันถึงความมั่นใจ ว่าจะสามารถส่งสนามให้กับ เอเอฟซี ได้ทันกำหนดเวลา เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ตัวแทนของหน่วยงานต่างๆ ทั้ง การกีฬาแห่งประเทศไทย, องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึง สโมสรสมาชิก ทุกคนยืนยันว่า ถ้านอกเหนือสามสนามหลัก อย่าง ราชมังคลากีฬาสถาน, ติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สโมสรที่ได้รับการเชิญมาในวันนี้ ก็พร้อมใจ และมั่นใจที่จะร่วมมือกับ สมาคมฯ ในการเตรียมสนาม ให้สามารถรองรับการใช้สนามในรายการนี้ เพราะทุกคนเข้าใจว่า รายการนี้เป็นหน้าตาของประเทศไทย เป็นเรื่องที่ทำเพื่อชาติ ทุกสนามพร้อมให้การสนับสนุน ต้องขอขอบคุณองค์กร หน่วยงาน และสโมสรต่างๆ แทนแฟนบอลชาวไทย ที่ท่านพร้อมให้ความร่วมมือกับ สมาคมฯ เพื่อชื่อเสียงของประเทศไทย”

“ตอนนี้ก็ให้แต่ละสโมสร ทั้ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ได้ชี้แจงศักยภาพ และรายละเอียดของแต่ละสนาม ว่ามีความจุ ไฟส่องสว่าง สิ่งที่เอเอฟซี ต้องการ คือ แต่ละสนามต้องสามารถปรับปรุงได้ทันกำหนด เวลา จากนี้ สมาคมฯ ก็ต้องประชุมเพื่อดูว่าสนามใดมีความพร้อม ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไข เพราะบางสนาม ก็ทำได้ไม่ทัน เราก็ต้องพิจารณาอีกครั้ง”

“มาตรฐานของสนามที่จะมาแทนที่ สนามสมโภช 700 ปี เชียงใหม่ คือต้องมีความจุไม่ต่ำกว่า 10,000 ที่นั่ง, ห้องแต่งตัวมีจำนวน 4 ห้อง, ไฟส่องสว่างไม่ตำกว่า 1,800 LUX, การเดินทางจากโรงแรมที่พักไปสนามไม่เกิน 1 ชั่วโมง ก็มีรายละเอียดอีกมากมาย ทั้ง โรงแรมที่พัก ต้องมีระดับ 4-5 ดาว, สนามฝึกซ้อมที่ได้มาตรฐาน นี่คือเงื่อนไขของเอเอฟซีที่กำหนดไว้ ทั้งสามสโมสร อยู่ในเกณฑ์ที่จะพิจารณา ส่วนโครงสร้างและกายภาพของสนาม ทางสโมสรก็ได้ชี้แจงข้อมูลต่างๆ เราก็จะมีการหารือกัน”


“ทั้ง 3 สโมสรที่มา ต่างเคยจัดฟุตบอลรายการสำคัญๆ มาแล้ว แต่ข้อกำหนดของฟุตบอลแต่ละรายการ ไม่เท่ากัน อย่างในชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ถือเป็นหนึ่งในฟุตบอลรายการที่มีข้อกำหนดที่สูง หากเทียบกับ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ที่แต่ละสโมสรเคยจัดการแข่งขัน ก็มีความแตกต่างกัน อย่างใน ชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ไฟส่องสว่างกำหนดไว้ที่ 1,800 LUX ซึ่งสูงกว่าฟุตบอลทุกรายการที่ประเทศไทยเคยจัดมา ห้องแต่งตัวนักกีฬา ก็ต้องมี 4 ห้อง โดยปกติใช้แค่ 2 ห้อง ก็สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ขณะเดียวกัน ทางเดิน ก็จะเป็นกระเบื้องไม่ได้ ต้องเป็นพื้นยางที่กันลื่นได้ด้วย นี่คือสิ่งที่เราจะต้องทำในการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้ ขณะเดียวกันทางเดินเข้าสนาม ปกติใช้แค่พรม แต่รายการนี้จะต้องปูหญ้าเทียมในส่วนที่เป็นลู่วิ่ง นี่คือความแตกต่างของฟุตบอลรายการนี้ กับ ฟุตบอลรายการอื่นๆ ที่ประเทศไทย เคยจัดมา”

ด้าน อำพล พงศ์สุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวถึงความพร้อมว่า “สนามติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา ก็มีความสวยงาม คิดว่าน่าจะสวยงามที่สุดในประเทศไทย สนามอยู่ติดกับทะเล เรามีความภาคภูมิใจ ที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้เลือกสนาม ติณสูลานนท์ เป็นสนามแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี”

“ส่วนของการปรับปรุงสนาม หลังจากที่สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย ไปตรวจสนามของเราถึงสองครั้ง ก็ได้ให้คำแนะนำ และข้อกำหนดต่างๆ ให้เราปรับปรุงสนาม ณ ตอนนี้ สนามติณสูลานนท์ ภายใต้การควบคุมของ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ก็ได้เข้าสู่กระบวนการปรับปรุงสนามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คิดว่า เราจะปรับปรุงสนามให้ได้มาตรฐานตามที่เอเอฟซี กำหนดและคาดว่าจะแล้วเสร็จตามที่กำหนดส่งมอบสนาม วันที่ 15 ธันวาคม 2562”

ขณะที่ ความพร้อมกี่เปอร์เซ็นต์ คงพูดไมได้ เพราะในขณะนี้อยู่ในระหว่างปรับปรุง แต่วันที่ 22 กันยายน 2562 ที่เอเอฟซี มีกำหนดจะเดินทางมาตรวจสนาม เราก็พร้อมที่จะพาไปชมว่าเราได้ปรับปรุงตามที่เอเอฟซี ให้คำแนะนำ ณ ตอนนี้ เราก็ได้เร่งดำเนินการปรับปรุง

“เราก็พยายามเดินไปตามแผนที่กำหนดไว้ตามข้อบังคับของเอเอฟซี ตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ เราก็จะดำเนินการปรับปรุง สนาม ติณสูลานนท์ ให้เสร็จในวันที่ 10 ธันวาคม 2562”

โดยหลังจากนี้ ฝ่ายจัดการแข่งขันจากสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย จะเดินทางมาตรวจสอบความคืบหน้าของสนามแข่งขันในช่วงระหว่างวันที่ 20-24 กันยายน 2562 ก่อนจะจัดพิธีจับสลากแบ่งสายการแข่งขันฟุตบอล ชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี รอบสุดท้าย ต่อไปในวันที่ 26 กันยายน 2562

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 4 แสน

18 ก.ค. – เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 400,000 บาท อ้างป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัด และแลกหลักฐานกรณีอดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร มีความสัมพันธ์กับสีกากอล์ฟ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จ.พิจิตร หลงกลเล่ห์เหลี่ยมของสีกากอล์ฟ โดยเมื่อปี 2559 อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร ส่งข้อความไปหาสีกากอล์ฟ ว่ามีเรื่องสำคัญของบ้านเมืองจะปรึกษา และหว่านล้อมว่าสีกากอล์ฟเป็นบุคคลสำคัญยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองส่วนหนึ่งใน จ.พิจิตร ไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากให้ความร่วมมือจะมีผู้ใหญ่ใจดีที่พร้อมจะดูแลสีกากอล์ฟและลูก แล้วทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ติดต่อกลับ จากนั้นสีกากอล์ฟตอบกลับข้อความ ทำให้อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร เปิดเผยเป้าหมายทันทีว่าต้องการดำเนินการกับพระราชสิทธิเวที ในขณะนั้น (อดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร และอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง จ.พิจิตร ที่เพิ่งสึกไป) ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต เสพเมถุน และประพฤติตนไม่เหมาะสม อาจเชื่อมโยงมาถึงสีกากอล์ฟ พร้อมเสนอเงิน 1 ล้านบาท แต่สีกากอล์ฟชวนอดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร คุยเรื่องทั่วไป โดยเฉพาะอ้างว่ามีอาการป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัดประมาณ 400,000 บาท […]

“ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ

17 ก.ค. – “ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอกพรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติง “ลูกอิ๊งค์” ขายชาติ บอกปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล “คึกฤทธิ์” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก พลิกเกมเศรษฐกิจไทย” และ “พลิกเกมเศรษฐกิจไทย สู่อนาคต” จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม พร้อมครม. อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ […]

แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด

อุบลราชธานี 17 ก.ค.-แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารได้รับบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด ซึ่งอาการโดยรวมดีขึ้น ที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 22 อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจกับทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดทั้ง 3 นาย ซึ่งมีอาการโดยรวมดีขึ้น สำหรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 3 นายประกอบด้วย ส.อ.ปฏิพัทธ์ ศรีลาศักดิ์ มีบาดแผลฟกซ้ำบริเวณหน้าอกจากการถูกแรงอัดระเบิด ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้า แต่ปัจจุบันดีขึ้น พลทหารณัฐวุฒิ ศรีเข้ม มีบาดแผลฟกซ้ำที่หน้าอกจากการอัดของระเบิด แน่นหน้าอก แต่ช่วยเหลือตัวเองได้ พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน ต้องตัดขาซ้ายใต้เข่าจากแรงระเบิด มีอาการปวดแผล แต่กินอาหารได้ตามปกติ หลังเยี่ยมพูดคุยให้กำลังใจ แม่ทัพก็เดินทางกลับไป เพื่อไปติดตามสถานการณ์ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ต่อไป.-711.-สำนักข่าวไทย

จนท. เข้าพบพระพรหมบัณฑิต ขอตรวจสอบบัญชีเงินวัดประยูรฯ

กทม. 17 ก.ค. – ตำรวจ ปปป. ป.ป.ท. และเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ บุกวัดประยุรวงศาวาส เข้าตรวจสอบบัญชีเงินวัด เบื้องต้น  ยืนยันไม่ใช่การบุกค้นกุฏิ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาส พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา รักษาราชการแทนรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.), พ.ต.อ.สถาปนา จุณณวัตต์ ผู้กำกับการกองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธแห่งชาติแห่งชาติ เดินทางเข้าพบพระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เพื่อพูดคุยและขอข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารการเงินภายในวัด หลังอดีตเจ้าคุณประสิทธิ์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส เข้าไปพัวพันกับสีกากอล์ฟ และตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคำให้การของพยาน ที่พบเงินถูกพับในลักษณะถูกนำออกมาจากตู้บริจาคในบ้านของสีกากอล์ฟ ซึ่งการตรวจสอบในวันนี้จะเน้นเรื่องเส้นทางการเงินของวัดทั้งหมด ที่ต้องสงสัยว่าอาจมีบางส่วนถูกยักยอก หลังการตรวจสอบ ผู้กำกับการ 6 บก.ปปป. กล่าวว่า ไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลได้ ผู้บังคับบัญชาจะเป็นผู้ชี้แจง หลังจากนี้จะนำข้อมูลต่างๆ กลับไปเรียนให้ผู้บังคับบัญชาได้ทราบ แต่ยืนยันว่า วันนี้เป็นเพียงแค่การเข้ามาขอข้อมูลเท่านั้น ด้านเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระบุว่า เป็นเพียงการบูรณาการของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง และในการตรวจสอบเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารแต่อย่างใด มีรายงานเพิ่มเติมว่าเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 หน่วยงาน ได้นำกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปตรวจสอบที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย หรือ […]

ข่าวแนะนำ

กต.ประณามกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ขัด กม.ระหว่างประเทศร้ายแรง

ก.ต่างประเทศ 20 ก.ค. – กต.ประณามกัมพูชาอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซัดขัด กม.ระหว่างประเทศร้ายแรง ละเมิดอธิปไตยไทย จี้ให้ความร่วมมือเก็บกู้ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อ่านแถลงการณ์เรื่องการประท้วงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชา ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ บริเวณช่องบก ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดศรีสะเกษ จนเป็นเหตุให้กำลังพลของไทยได้รับบาดเจ็บ ว่า ตามที่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 รวม 3 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนตามปกติ ในดินแดนของไทย บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้น รัฐบาลไทยได้รับรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงว่า ภายหลังการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ทุ่นระเบิดที่พบ ไม่มีการใช้ หรือมีอยู่ในคลังอาวุธของไทย และเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เมื่อประกอบกับการประมวลข้อมูล และหลักฐานสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่หน่วยงานความมั่นคงตรวจพบ นำไปสู่การสรุปได้ว่า เป็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างชัดเจน ไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ จะดำเนินการตามกระบวนการภายใต้อนุสัญญาฯ โดยจะยังคงหาทางแก้ปัญหากับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคีต่าง […]

มทภ.2 ยินดีเขมรขนคนเที่ยวโบราณสถานไทย เตือนเคารพกฎ

20 ก.ค.- แม่ทัพภาค 2 ฮึ่มป่วน “ปราสาทตาเมือนธม-ปราสาทตาควาย” เจอมาตรการเบาไปหนัก ยินดีเขมรขนคนมาชมสองโบราณสถานของไทย ส่วนโซเชียลรณรงค์คนไทยเจ้าบ้านใส่เสื้อไทยร่วมต้อนรับ เมื่อวันที่ 20 ก.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกรณีกัมพูชาขนประชาชนกัมพูชาหลายรถบัสขึ้นมาเที่ยวปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายของไทย ว่า รู้สึกยินดีและขอต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาและประเทศอื่น ๆ ที่มาท่องเที่ยว เยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายของไทย ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กองทัพภาคที่ 2 กำหนดไว้ โดยได้จัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและดูแลนักท่องเที่ยวให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ไม่ก่อความวุ่นวาย เพื่อให้นักท่องเที่ยวทุกคนเข้าเยี่ยมชมได้ตามปกติ ทั้งนี้ ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญของไทยและมีประวัติศาสตร์มายาวนาน “หากนักท่องเที่ยวคนใดก่อเหตุวุ่นวาย เจ้าหน้าที่มีมาตรการจากเบาไปหาหนักดำเนินการ ดังนั้นขออย่าให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะนักท่องเที่ยวทุกคนเข้ามาเยี่ยมชมโบราณสถานของไทย ต้องเคารพกฎระเบียบของไทย” แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่ภาพคนไทย พร้อมข้อความภาษาไทยและภาษากัมพูชา ระบุว่า “รวมใจคนไทย ใส่เสื้อไทย ต้อนรับนักท่องเที่ยวกัมพูชา ด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพจากเจ้าของบ้านตัวจริง” -สำนักข่าวไทย

ทบ.ส่งทหารช่างเก็บกู้ทุ่นระเบิดชายแดนไทย-กัมพูชา

20 ก.ค.- ทหารช่างปฏิบัติภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดพื้นที่ช่องบก ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่กองทัพบกเตรียมมาตรการตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสม จากกรณีทหารไทยประสบเหตุเหยียบกับระเบิด บาดเจ็บ 3 นาย ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนรักษาความสงบในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ล่าสุดเช้านี้ (20 ก.ค. 68) กองทัพภาคที่ 2 เสริมกำลังทหารช่างลงพื้นที่ทันที เพื่อตรวจพื้นที่และเก็บกู้ทุ่นระเบิดตลอดแนวชายแดน โดยใช้ยุทโธปกรณ์หนัก รถแทรกเตอร์หุ้มเกราะ ชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดชำนาญการ กำลังชุดทหารช่างตรวจค้นกวาดล้างทุ่นระเบิด (Mine Clearing) เขตทางพื้นที่สงสัยให้ปลอดภัย พร้อมใช้รถโกยตัก ถางขุดตอ และรถถากถางติดตั้งเกราะเหล็กป้องกันพลขับในการทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย ปฏิบัติการดังกล่าว นอกจากดูแลความปลอดภัยของกำลังพลที่จะออกลาดตระเวนในพื้นที่เขตแดนไทยแล้ว ยังเป็นการเก็บหลักฐานเพื่อแสดงให้เห็นว่ากัมพูชามีพฤติการณ์ที่ขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล แม้ทางฝ่ายกัมพูชาจะไม่ยอมรับ แต่กระทรวงการต่างประเทศ จะทำหนังสือเพื่อประท้วงอย่างเป็นทางการผ่านสหประชาชาติ (UN) และทางกองทัพบก จะมีมาตรการตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสม.-สำนักข่าวไทย

พฐ.เตรียมตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานแปรรูปยางพารา

20 ก.ค.- เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเตรียมตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานแปรรูปยางพารา จ.บุรีรัมย์ เบื้องต้นไม่มีผู้บาดเจ็บ คาดเสียหายหลายสิบล้านบาท เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานรับซื้อและแปรรูปยางพาราขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ริมถนนสาย 24 โชคชัย-เดชอุดม ตำบลโคกม้า อ.ประโคกชัย จ.บุรีรัมย์ โดยต้นเพลิงเป็นโกดังเก็บยางพาราอัดแท่ง จัดว่าเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้เพลิงลุกไหม้รวดเร็วและรุนแรง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตอนเกิดเหตุช่วงแรก พนักงานช่วยกันดับแต่เอาไม่อยู่ จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข้าช่วยเหลือ ตำรวจ สภ.ประโคนชัย พร้อมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ลงพื้นที่ตรวจสอบและประสานรถดับเพลิงกว่า 20 คัน เข้าฉีดสกัดนานกว่า 2 ชั่วโมง จึงคุมเพลิงให้อยู่ในวงจำกัดได้ แต่ยังต้องฉีดน้ำหล่อเลี้ยงไว้ตลอดป้องกันไม่ให้ไฟปะทุลามไปจุดอื่นในโรงงาน พร้อมเคลื่อนย้ายถังแก๊ส ถังน้ำมัน จากอาคารใกล้เคียงไปไว้ยังจุดปลอดภัย เบื้องต้นไม่มีพนักงานได้รับบาดเจ็บ ด้านนายจำเริญ แหวนเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่าแม้จะควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว แต่รถดับเพลิงก็ยังต้องฉีดน้ำเพื่อหล่อความเย็นจนกว่าไฟจะดับสนิท ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้ยังไม่ทราบ ต้องรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาตรวจสอบ สำหรับมูลค่าความเสียหายอยู่ระหว่างการประเมิน คาดหลายสิบล้านบาท ทั้งนี้ โรงงานดังกล่าวเคยเกิดเหตุไฟไหม้มาแล้ว เมื่อปี 63 -สำนักข่าวไทย