กรุงเทพฯ 10 ก.ย. – รองนายกรัฐมนตรีปลื้มผลประชุมอาเซียนและคู่เจรจาคืบหน้าด้วยดี เตรียมนำผลสรุปเสนอกรอบผู้นำเดือน พ.ย.นี้
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน กล่าวว่า การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 51 และการประชุมที่เกี่ยวข้องจะเสร็จสิ้นในวันนี้ ซึ่งเหลือการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจกับประเทศคู่เจรจาแบบแยกเป็นรายประเทศ เพื่อหารือถึงแนวทางการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน และภายหลังการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวก 3 คือ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ในช่วงเช้าวันนี้ ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่อาเซียนจะได้คุยกับคู่ค้าสำคัญที่จะต่อยอดมูลค่าทางการค้า จากที่ผ่านมาการส่งออกและนำเข้าทั้ง 3 ประเทศกับอาเซียนยังขยายตัวต่อเนื่องและเป็นโอกาสในการเดินหน้าตามแผนรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกตามเป้าหมายปี 2563 เพื่อให้เกิดความร่วมมือทุกมิติแบบระยะยาว โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยของอาเซียน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียนบวก 3 รวมทั้งได้รับการสนับสนุนอย่างใกล้ชิดจากหน่วยงานเอกชนในภูมิภาคอย่างสภาธุรกิจเอเชียตะวันออก
อย่างไรก็ตาม หากดูด้านการค้าการลงทุนของปี 2560 อาเซียนบวก 3 เพิ่มขึ้นถือว่ามีการขยายมูลค่าทางการค้า ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกผันผวน ที่จะต่อยอดมูลค่าทางการค้าได้ โดยมูลค่าการค้าอาเซียนบวก 3 ปีที่ผ่านกว่า 800,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตร้อยละ 6.8 ส่วนด้านการลงทุน การลงทุนอาเซียน-ประเทศบวก 3 มีมูลค่า 37.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 24.5 ของเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้าอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 จากปีก่อน
ส่วนการหารือในกรอบไทยกับอินเดียนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นตรงกันว่าจะขยายกรอบการค้าภายใต้ FTA ระหว่างกันมากขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวมากกว่าร้อยละ 20 แต่ในช่วง 7 เดือนของปีนี้ขยายตัวเพียงร้อยละ 4.6 ดังนั้น จึงเห็นว่าทั้ง 2 ประเทศมีโอกาสจะขยายมูลค่าการค้าระหว่างกันได้อีกมาก และระหว่างวันที่ 24-28 กันยายนนี้ จะนำคณะเยือนประเทศอินเดีย เพื่อเร่งสร้างตลาดในอินเดียให้เพิ่มมากขึ้น โดยสินค้าไทยหลายรายการทั้งอาหาร เกษตร เครื่องปรับอากาศและอื่น ๆ ยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคอินเดียอย่างมาก
นอกจากนี้ ในการประชุมกรอบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอด 6 วันนี้ ถือว่าประสบผลสำเร็จและสามารถตกลงตามกรอบต่าง ๆ ได้ด้วยดี เมื่อนำข้อสรุปต่าง ๆ เสนอในกรอบผู้นำที่จะมีการประชุมในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ เขื่อว่าทุกประเทศจะได้ประโยนช์ทั้งสิ้น รวมถึงประเทศไทยที่จะทำให้สินค้าของไทยสามารถไปขยายตลาดทั้งอาเซียนและกรอบเจรจาต่าง ๆ เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลก แม้ว่าจะอยู่ในช่วงชะลอก็ตาม เพราะการค้าระหว่างกันจะมีความสะดวกและรวดเร็ว รวมถึงยังลดปัญหาอุปสรรคระหว่างกันได้อีกด้วย.-สำนักข่าวไทย