ศาลปกรอง 9 ก.ย.- ศาลปกครองเปิดระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เป็นทางเลือกใหม่ให้คู่กรณียุติข้อพิพาทโดยเร็ว คาด ลดคดีในศาลได้ร้อยละ 40
นายปิยะ ปะตังทา ประธานศาลปกครองสูงสุด แถลงข่าว เปิดระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครอง ว่า ศาลปกครองได้มีการแก้ไข พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง ( ฉบับที่ 12 ) พ.ศ. 2562 และระเบียบที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครอง พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ที่ผ่านมา เพื่อนำระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมาเป็นทางเลือกใหม่ให้กับคู่กรณีในการระงับข้อพิพาท เชื่อว่าจะเป็นผลดีทำให้คู่กรณีสามารถยุติข้อพิพาทที่มีต่อกันได้ด้วยความเรียบง่าย รวดเร็ว และถูกต้องตามกฎหมาย จึงหวังว่าระบบการไกล่เกลี่ยจะเป็นประโยชน์ทั้งแก่ประชาชน หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นคู่กรณี และส่งเสริมการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ด้าน นายบุญอนันต์ วรรณพานิชย์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ในฐานะประธานกรรมการยกร่างอนุบัญญัติและการเตรียมความพร้อมศาลปกครองในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท อธิบายถึงหลักการไกล่เกลี่ยว่า คดีที่สามารถไกล่เกลี่ยได้ มี 4 ประเภท 1. คดีพิพาทที่เกี่ยวกับการละเลยหรือล่าช้าต่อการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ 2. คดีพิพาทที่เกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ 3. คดีพิพาทที่เกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และ 4. คดีพิพาทอื่นที่ที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดจะพิจารณากำหนดในระยะต่อไป ซึ่งทั้งหมดต้องเป็นคดีที่เป็นการฟ้องคดีครั้งแรกเท่านั้น
นายบุญอนันต์ กล่าวว่า กระบวนการไกล่เกลี่ย คู่กรณีสามารถยื่นคำขอต่อศาล หรือศาลเห็นเองว่าคดีดังกล่าวควรมีการไกล่เกลี่ย ซึ่งต้องอยู่ภายใต้ความสมัครใจของคู่กรณี ส่วนผู้ไกล่เกลี่ยจะเป็นตุลาการศาลปกครองที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับสำนวนคดีเป็นผู้ดำเนินการ ไม่มีรูปแบบพิธีการหรือขั้นตอนที่เคร่งครัด เพื่อช่วยให้คู่กรณีสามารถสื่อสารความต้องการ และข้อจำกัดของทุกฝ่ายได้อย่างเต็มที่ ภายใต้ระยะเวลาการดำเนินการใน 90 วันนับแต่วันนัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาทครั้งแรก ทั้งนี้ คู่กรณีไม่สามารถนำกระบวนไกล่เกลี่ยไปยื่นอุทธรณ์คดีได้ รวมถึงหากประวิงเวลาในการไกล่เกลี่ย ตุลาการผู้ไกล่เกลี่ยสามารถรายงานต่อองค์คณะให้ยุติการไกล่เกลี่ยได้
นายบุญอนันต์ ยังกล่าวว่า ผลของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หากสำเร็จและทำให้คดีเสร็จสิ้นไปทั้งหมด และศาลตรวจดูแล้ว ข้อตกลง หรือสัญญาประนีประนอมยอมความ ถ้าเห็นว่าถูกต้องตามกฎหมาย ก็จะมีคำพิพากษาตามยอม ซึ่งก็จะมีผลบังคับผูกพันกับหน่วยงานของรัฐเช่นเดียวกับคำพิพากษาปกติ แต่หากไกล่เกลี่ยข้อพิพาททำสำเร็จในบางประเด็น ศาลก็จะจดรายงานแสดงข้อความแห่งข้อตกลงในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไว้ และพิจารณาประเด็นที่ยังพิพาทต่อไป แล้วนำมารวมพิพากษาไปในคราวเดียวกัน แต่หากไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ ศาลก็จะดำเนินการพิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไป อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการนำระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมาใช้ จะสามารถทำให้ลดจำนวนคดีในปกครองลงได้ 30-40 %
อย่างไรก็ตาม นายบุญอนันต์ กล่าวว่า กฎหมายได้กำหนดลักษณะของคดีที่ห้ามมีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไว้ เช่น คดีที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน คดีที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อสถานะของบุคคล หรือมีผลกระทบในทางเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ ข้อพิพาทที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อการบังคับกฎหมาย หรือการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่อยู่นอกเหนือสิทธิ อำนาจหน้าที่ หรือความสามารถของคู่กรณี . – สำนักข่าวไทย