เชลล์ชี้ก๊าซแอลเอ็นจีจะใช้สูงสุดในปี 2573

กรุงเทพฯ  21 ส.ค. – ก.พลังงานปรับแผนพลังงานตามเทรนด์โลกลดภาวะโลกร้อนส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานทดแทน คาดต้องนำเข้าแอลเอ็นจีเพิ่มเป็น 20 ล้านตันต่อปี ด้านเชลล์ชี้แอลเอ็นจีจะมีบทบาทสูงสุดในปี 2573 และการใช้ฟอสซิลจะมีสัดส่วนเหลือเพียงร้อยละ 20 ใน 50 ปีข้างหน้า  


ในงานสัมมนา 2019 Shell Forum ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการส่งเสริมให้มีระบบพลังงานที่ลดการปล่อยคาร์บอนในประเทศไทย นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้จัดทำแผนงานพลังงานเป็นไปตามทิศทางโลก ทั้งพลังงานทดแทน ระบบกักเก็บพลังงาน การส่งเสริมสตาร์ทอัพพัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน โดยกำลังปรับแผนให้กองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานเข้ามาสนับสนุนร่วม พร้อมทั้งให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ใช้งบฯ ด้านการส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนามาสนับสนุนสตาร์ทอัพ เช่นเดียวกับ บมจ.ปตท.มีแผนสนับสนุนโดยหน่วยงานเอสเพรสโซ่


สำหรับการส่งเสริมพลังงานทดแทน ขณะนี้กระทรวงฯ อยู่ระหว่างปรับแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าระยะยาว หรือแผนพีดีพี 2018 (ปี 2561 -2580 ) ให้มีปริมาณรับซื้อเพิ่มขึ้นจากเดิมตั้งเป้าหมายมีพลังงานทดแทนรวม 17,000 เมกะวัตต์ และมีการใช้เอทานอล-ไบโอดีเซล 25.3 ล้านลิตร/วัน ส่งเสริมพืชพลังงานมาผลิตไฟฟ้าตามโครงการ 1 ชุมชน 1 พลังงานทดแทน 1 เมกะวัตต์ เช่น เศษไม้ยางพารา ทลายปาล์ม ซังข้าวโพด เศรษไม้ยางพารา โดยการส่งเสริมต้องให้ 3 การไฟฟ้า มีระบบสายส่งรองรับที่เพียงพอ มีการจัดโซนนิ่งที่ชัดเจน ขณะที่การซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากเพื่อนบ้าน เช่น สปป.ลาวก็เป็นส่วนหนึ่งในการลดการพึ่งพาฟอสซิล โดยขณะนี้ สปป.ลาวเสนอมาประมาณ 10 โครงการ มากกว่าปริมาณที่จะรับซื้อเพิ่มเติมที่ 3,500 เมกะวัตต์ จึงให้ไปจัดลำดับความพร้อมในการผลิตและส่งไฟฟ้า โดยการซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาวเงื่อนไขชัดเจน คือ ค่าไฟฟ้าจะต้องไม่แพงกว่า โรงไฟฟ้า สปป.ลาวที่ขายเข้ากริดของไทยปีนี้ หรือไม่เกิน 2.40 บาท/หน่วย

“เป้าหมายหลักของไทยในส่วนของการใช้พลังงานเป็นไปตามเทรนด์ของโลก คือ ลดภาวะโลกร้อน โดยการพัฒนานวัตกรรมพลังงานทดแทน และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก” ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าว


ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เชื้อเพลิงฟอสซิลยังเป็นเชื้อเพลิงหลักในอนาคต  และคาดว่าไทยต้องนำเข้าทั้งหมดทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ หลังปริมาณปิโตรเลียมในไทยลดต่ำลง ซึ่งตามแผนพีดีพี 2018 การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี ) จะเพิ่มขึ้นจาก 5 ล้านตัน/ปี เป็น 19-20 ล้านตัน/ปี  ส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหินยังจำเป็นต้องใช้ต่อไป และจะศึกษาว่าทำอย่างไรให้เป็นเทคโนโลยีสะอาดที่สุด 

นายอัษฎา หะรินสุต ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ทุกคนมีบทบาทในการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ซึ่งการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังงานทั้งระบบ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ทางเลือกของผู้บริโภค เทคโนโลยี ไปจนถึงนโยบายภาครัฐ ในการช่วยลดคาร์บอนในระดับองค์รวมเชิงเศรษฐกิจ โดยเชลล์ในไทยมีแผนจะส่งเสริมการปลูกป่าและผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในสำนักงาน คลังน้ำมันและปั๊มต่าง ๆ โดยใช้บริษัทร่วมทุนของเชลล์จากสิงคโปร์มาลงทุนผลิตโซลาร์ในไทย

“เชลล์ ประเทศไทย ยังผลักดันให้มีการใช้กลไกกำหนดราคาคาร์บอน เพื่อกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรม ภาคพลังงาน และผู้บริโภค พัฒนาประสิทธิภาพพลังงาน ลดก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมโครงการต่าง ๆ เช่น การดักจับและกักเก็บคาร์บอน รวมถึงวิธีธรรมชาติอย่างการปลูกป่า ทั้งนี้ เชลล์ ประเทศไทย ยินดีร่วมมือกับรัฐบาลในการจัดทำแผนและนโยบายการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่มีประสิทธิภาพ” นายอัษฎา กล่าว

ทั้งนี้ ในงานสัมมนาครั้งนี้มีการนำเสนอรายงาน Sky Scenarios ซึ่งเป็นรายงานจำลองสถานการณ์ Shell Scenarios ฉบับล่าสุด โดย ดร.มัลลิกา อิชวารัน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสและที่ปรึกษาด้านนโยบาย เชลล์ กรุ๊ป สแตรทิจี้ ได้นำเสนอความเป็นไปได้ทางเทคนิค พร้อมความท้าทายสำหรับสังคมในการบรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) แบบจำลองสถานการณ์ของเชลล์ทำให้เห็นภาพในอนาคตที่พลังงานหมุนเวียนจะเข้ามาเป็นองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดของระบบพลังงานโลก แบบจำลองสถานการณ์ดังกล่าวไม่ใช่การทำนายหรือแผนธุรกิจและไม่ใช่นโยบายของเชลล์แต่อย่างใด แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะจุดประกายส่งเสริมให้เกิดพันธมิตรและโครงการต่าง ๆ ทั่วโลกและระดับประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยคาดว่าภายในปี 2613 หรือ ค.ศ.2070 การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะลดลงจากร้อยละ 80 เหลือร้อยละ 20 ขณะที่พลังงานทดแทนจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น รวมถึงการใช้ไฟฟ้าจะมีสัดส่วนเพิ่มจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 50-60 ซึ่งในส่วนของการใช้แอลเอ็นจีจะมีบทบาทการใช้สูงสุดในปี 2573 หลังจากนั้นพลังงานทดแทนจะมีบทบาทมากขึ้น ขณะที่ถ่านหินมีการใช้สูงสุดปี 2557 หลังจากนั้นจะทยอยลดลง และเรื่องประสิทธิภาพพลังงาน  สมาร์ทซิตี้  ส่งเสริมการปลูกป่า การจัดการการใช้ที่ดิน การกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะมีความสำคัญ โดยประเมินว่า ราคาซื้อขายคาร์บอนปี 2613 จะขยับขึ้นไปถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 10 ดอลลาร์/ตัน.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เลือกตั้งนายก อบจ.อุบลฯ “กานต์” ส่อเข้าป้าย

เลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี “กานต์” หมายเลข 1 จากเพื่อไทย ส่อเข้าป้าย ด้าน ปชน. แถลงยอมรับยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ ส่วนอุตรดิตถ์ “ชัยศิริ” อดีตนายก อบจ. ส่อเข้าวิน

วัยรุ่นซิ่งเบนซ์เสียหลักพุ่งเหินฟ้าคารถ 6 ล้อ

รอดตายปาฏิหาริย์! วัยรุ่นซิ่งเบนซ์เสียหลัก ก่อนพุ่งเหินฟ้าติดคาบนรถ 6 ล้อ พลเมืองดีเข้าช่วยเหลือออกมาจากรถ ปลอดภัย

กกต.สั่งเอาผิดอาญา “ชวาล” สส.ปชน. ยื่นบัญชีใช้จ่ายเท็จ

กกต.สั่งดำเนินคดีอาญา “ชวาล” สส.ปชน. ยื่นบัญชีค่าใช้จ่ายเลือกตั้งไม่ตรงความเป็นจริง โทษหนักทั้งจำคุก-ตัดสิทธิ 5 ปี

ข่าวแนะนำ

ฉายารัฐบาลปี67

สื่อทำเนียบฯ ตั้งฉายา ปี 67 “รัฐบาล(พ่อ)เลี้ยง”

สื่อทำเนียบฯ ตั้งฉายา ปี67 “รัฐบาล(พ่อ)เลี้ยง” ฉายานายกฯ “แพทองโพย” ด้าน 7 รัฐมนตรีติดโผ “บิ๊กอ้วน-อนุทิน-ทวี” พ่วง 3 รัฐมนตรีโลกลืม ส่วนวาทะแห่งปี “สามีเป็นคนใต้”

เลือกตั้ง อบจ.อุบลฯ

“กานต์ กัลป์ตินันท์” ชนะเลือกตั้งนายก อบจ.อุบลฯ

“กานต์ กัลป์ตินันท์” ชนะเลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี พร้อมขอบคุณคนเสื้อแดง และนายทักษิณ ชินวัตร ที่ช่วยผลักดัน

ฟรีคอนเสิร์ต “มหานครคัลเลอร์ฟูลปาร์ตี้ 2025” ส่งสุขรับปีใหม่

ส่งความสุขรับปีใหม่ กับฟรีคอนเสิร์ต “มหานครคัลเลอร์ฟูลปาร์ตี้ 2025” ศิลปินลูกทุ่งเกือบ 100 ชีวิต ร่วมโชว์จัดเต็ม

เลือกตั้งนายก อบจ.อุบลฯ “กานต์” ส่อเข้าป้าย

เลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี “กานต์” หมายเลข 1 จากเพื่อไทย ส่อเข้าป้าย ด้าน ปชน. แถลงยอมรับยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ ส่วนอุตรดิตถ์ “ชัยศิริ” อดีตนายก อบจ. ส่อเข้าวิน