กรุงเทพฯ 15 ส.ค. – ในการลงมติข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ข้อที่ 13 เมื่อวานนี้ ปรากฏว่า ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตฝ่ายค้าน 11 เสียง นับเป็นครั้งที่ 2 แล้วกับผลลงมติลักษณะเช่นนี้ในสภาฯ สะท้อน “เสถียรภาพของรัฐบาล” อย่างไร ติดตามจากรายงาน
แม้จะมีคำสั่งตั้งวิปรัฐบาล 67 คน ประสานเสียง ส.ส.ร่วมรัฐบาล สัดส่วน ส.ส. 5 คน ต่อวิป 1 คน แต่ก็สร้างความแปลกใจไม่น้อย เมื่อการลงมติร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายรัฐบาลยังมีเสียงแตกแถว จนทำให้แพ้โหวตฝ่ายค้าน 2 ครั้งซ้อน ครั้งแรกเรื่องการกำหนดถ้อยคำให้ประธานสภาฯ ทำหน้าที่เป็นกลาง แพ้โหวตด้วยคะแนน 204 ต่อ 205 เสียง แม้จะพลาดไป 1 เสียง แต่ถือว่ามีนัย ล่าสุดรัฐบาลแพ้โหวตอีกครั้ง 11 เสียง ด้วยคะแนน 223 ต่อ 234 เสียง เรื่องการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร
เรื่องนี้วิปรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ เรียกประชุมเช็กชื่อ หวังอุดรอยรั่ว ยอมรับเสียงปริ่มน้ำ สั่งจี้วิปกลุ่มจังหวัดควบคุมดูแล กำชับไม่ให้สมาชิกทำธุระส่วนตัวช่วงลงมติ มั่นใจหากเป็นกฎหมายสำคัญ เสียงรัฐบาลจะเป็นทางเดียวกัน
หนึ่งในสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลที่เพิ่งประกาศตัวเป็นฝ่ายค้านอิสระ มองว่า ตัวเลขการลงมติที่ผ่านมา เริ่มสะท้อนปัญหาของรัฐบาล และเชื่อว่ามีสมาชิกมากกว่า 30 คน ที่อยากเป็นฝ่ายค้านอิสระ ซึ่งจากนี้รัฐบาลต้องสร้างความชอบธรรมและความจริงกับพรรคร่วมฯ
ด้านฝ่ายค้านมองเรื่องนี้สะท้อนความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาล และพรรคขนาดเล็กที่ร่วมรัฐบาลก็เริ่มประกาศถอนตัว หากเป็นเช่นนี้อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล โดยเฉพาะการโหวตกฎหมายสำคัญ
จากนี้วิปรัฐบาลคงต้องคุมเข้มวินัยสมาชิกพรรคร่วมฯ มากขึ้น ถึงแม้จะบอกว่า การแพ้โหวตครั้งนี้ไม่ใช่กฎหมายสำคัญ แต่จะเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองเบื้องต้นหรือไม่ ท่ามกลางสภาวะเสียงปริ่มน้ำ. – สำนักข่าวไทย