กรุงเทพฯ 8 ส.ค. – อธิบดีกรมชลประทานเผยฝนตกต่อเนื่อง 7 วัน น้ำเข้าเขื่อนใหญ่รวม 1,600 ล้านลบ.ม. โดยเขื่อนสิริกิติ์ได้น้ำมากที่สุดกว่า340 ล้านลบ.ม. เขื่อนภูมิพลมีเข้า 104 ล้านลบ.ม. ส่วนเขื่อนป่าสักฯไม่มีน้ำเข้า ด้าน สสน. เตือนเขื่อนน้ำน้อยกว่าร้อยละ 30 รวม 20 แห่ง โดยวิกฤติสุดที่เขื่อนอุบลรัตน์มีน้ำเหลือ -2%
นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทานกล่าวถึงสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทุกภาคของประเทศซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นมามีน้ำไหลเข้าเขื่อนเพิ่มขึ้นจากอิทธิพลพายุวิภาและฝนจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ส่งผลให้น้ำไหลเข้าเขื่อนระหว่างวันที่ 2-8 สิงหาคม 1,652 ล้านลบ.ม. แบ่งเป็นเขื่อนใหญ่ภาคเหนือรวม 492 ล้านลบ.ม. ได้แก่ เขื่อนภูมิพล 104 ล้านลบ.ม. เขื่อนสิริกิติ์ 340 ล้านลบ.ม. เขื่อนกิ่วลม 13 ล้านลบ.ม เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน7 ล้านลบ.ม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีน้ำเพิ่ม 87ล้านลบ.ม. ได้แก่ เขื่อนสิรินธร 74 ล้านลบ.ม. เขื่อนอุบลรัตน์ 2.84 ล้านลบ.ม. ส่วนภาคกลางไม่มีน้ำไหลเข้าเขื่อนทั้งเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนทับเสลา และเขื่อนกระเสียว ภาคตะวันตก 873 ล้านลบ.ม.ได้แก่ เขื่อนศรีนครินทร์ 312 ล้านลบ.ม. และเขื่อนวชิราลงกรณ์ 560 ล้านลบ.ม. ภาคตะวันออก 20.95 ล้านลบ.ม. ได้แก่ เขื่อนขุนด่าน 3.25 ล้านลบ.ม. เขื่อนปะแสร์9.46 ล้านลบ.ม. และภาคใต้ 178 ล้านลบ.ม. ได้แก่ เขื่อนแก่งกระจาน 78 ล้านลบ.ม. เขื่อนรัชประภา 58 ล้านลบ.ม. สำหรับ 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยามีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อน รวม 452 ล้านลบ.ม. ซึ่งมีปริมาณน้ำใช้การได้ 1,224 ล้านลบ.ม. ส่วนทั้งประเทศมีน้ำใช้การได้ 11,275ล้านลบ.ม.
ทั้งนี้กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ระหว่างวันที่ 8 – 11 สิงหาคมจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณภาคตะวันออกและภาคใต้ ขอให้ประชาชนในจังหวัดจันทบุรี ตราด ระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ ระวังผลกระทบจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมที่อาจทําให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย
นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า แม้ปัจจุบันมีฝนตกเพิ่มขึ้น แต่หลายพื้นที่ของประเทศไทยยังคงประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ ราษฎรได้รับความเดือนร้อนจากการขาดน้ำกิน-น้ำใช้เช่น จังหวัดนครราชสีมา โครงการชลประทานนครราชสีมาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้นำชุมชนลงพื้นที่ตำบลห้วยแถลง และตำบลหลุ่งประดู่ อำเภอห้วยแถลงเพื่อติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง สร้างความเข้าใจให้แก่ราษฎรในพื้นที่ พร้อมทั้งแจกจ่ายน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภค- บริโภคแก่ราษฎรในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
สำหรับในพื้นที่หมู่ 12 บ้านธงชัยเหนือ ตำบลธงชัยเหนือ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา สำนักงานชลประทานที่ 8 ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาด 8 นิ้ว 1 เครื่องเพื่อทำการสูบน้ำช่วยเหลือประชาชน กว่า 150 ครัวเรือน ที่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในการอุปโภค-บริโภค
ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โครงการชลประทานฉะเชิงเทราจึงสนับสนุนรถบรรทุกน้ำขนาด 6,000 ลิตร 2 คันเพื่อนำน้ำดิบไปเติมในถังเก็บน้ำสำหรับใช้ผลิตน้ำประปาหมู่บ้านในพื้นที่หมู่ที่ 9 บ้านเขาจันทร์ ตำบลทุ่งพระยา อำเภอสนามชัยเขต เพื่อให้ราษฎร์กว่า 154 ครัวเรือน มีน้ำอุปโภค-บริโภค
ส่วนที่จังหวัดระยอง โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาประแสร์ นำเครื่องจักร-เครื่องมือ และรถแบ็คโฮ ขุดลอกเปิดทางน้ำบริเวณรอบอ่างเก็บน้ำประแสร์เพื่อให้แก่เกษตรกรในพื้นที่รอบอ่างเก็บน้ำฯ สามารถนำเครื่องสูบน้ำเข้ามาติดตั้ง และสูบน้ำไปใช้ทำการเกษตร
สำหรับจังหวัดลพบุรี สำนักงานชลประทานที่ 10 ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาด 8 นิ้ว 2 เครื่อง ที่บริเวณคลองส่งน้ำ 18 ขวา หมู่ 1 ตำบลโคกกะเทียม อำเภอเมือง และอีก 1 เครื่องที่บริเวณปลายคลองส่งน้ำ 18 ขวา หมู่ที่ 1 ตำบลบางลี่ อำเภอท่าวุ้งเพื่อช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาด 8 นิ้ว 6 เครื่อง บริเวณคลองระบาย 1 ซ้าย ตำบลสามบัณฑิต อำเภออุทัยเพื่อช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปี
สำหรับจังหวัดชัยนาท โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่าโบสถ์ ได้ย้ายเครื่องสูบน้ำจากปลายคลองมะขามเฒ่า–กระเสียว (ม.ก.) กิโลเมตรที่ 47+290 จำนวน 2 เครื่องไปที่จุดติดตั้งที่ 2 คลอง 3 ซ้าย มะขามเฒ่า-กระเสียว บริเวณกิโลเมตรที่ 5+200 พื้นที่หมู่ 9 ตำบลบ้านเชี่ยน อำเภอหันคาเพื่อทำการสูบน้ำเข้าช่วยเหลือเกษตรกรที่ทำการปลูกข้าวไปแล้ว
ทั้งนี้ จะเห็นว่า หลายพื้นที่ยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนน้ำกันอยู่ และมีหน่วยงานราชการต่างๆ ช่วยเหลือราษฎรกันอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ กรมชลประทาน ขอให้ราษฎรค่อยติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง และใช้น้ำที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อป้องกันและลดปัญหาการขาดแคลนน้ำในอนาคตได้อย่างยั่งยืน
ด้านสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) เตือนสถานการณ์เขื่อนที่มีน้ำใช้การน้อยกว่า30% รวม 30 แห่งได้แก่ เขื่อนอุบลรัตน์ซึ่งวิกฤติสุดน้ำใช้การเหลือต่ำกว่าระดับเก็บกักต่ำสุดที่ิิ -2% เขื่อนจุฬาภรณ์มี 3% เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มี 3% เขื่อนภูมิพลมี 4% เขื่อนสียัดมี 5% เขื่อนสิริกิติ์มี 6% เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนมีื 8% เขื่อนกระเสียวมี 9% เขื่อนสิรินธรมี 11% เขื่อนทับเสลามี12% เขื่อนลำพระเพลิงมี 13% เขื่อนแม่กวงมี14% เขื่อนห้วยหลวงมี15% เขื่อนลำนางรองมี15% เขื่อนขุนด่านปราการชลมี 15% เขื่อนน้ำพุงมี 16% เขื่อนลำปาวมี 16% เขื่อนนฤบดินทรจินดามี 17% เขื่อนมูลบนมี19% และเขื่อนศรีนครินทร์มี 19% . – สำนักข่าวไทย