พังงา 5 ก.ค.- ออกสู่ตลาดแล้วทุเรียน “สาลิกา” พันธุ์พื้นเมืองของดีจังหวัดพังงาจากแหล่งปลูกคุณภาพอำเภอกะปง ได้ขึ้นทะเบียนสินค้าจีไอเรียบร้อยจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา ปลื้มตลาดบริโภคชื่นชอบมากถึงกับจองข้ามปี
นายธีรพงศ์ ตันติเพชราภรณ์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดพังงา เปิดเผยว่า อำเภอกะปงมีผลผลิตทุเรียนขึ้นชื่อไม่แพ้จังหวัดอื่น คือ พันธุ์สาลิกา หรือท้องถิ่นเรียกว่า “เรียนสากา” ซึ่งเป็นพันธุ์เมือง และยังด้วยทราบว่ามีเกษตรกรหลายพื้นที่ รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงหันมาปลูกทุเรียนพันธุ์ดังกล่าวกันเพิ่มขึ้น เนื่องจากตลาดบริโภคให้ความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ของแท้ต้องมาจากกะปง เพราะเป็นแหล่งปลูกมากที่สุดของจังหวัดพังงา โดยทุเรียนสาลิกามีลักษณะผลค่อนข้างกลม คล้ายลูกแอปเปิล สามารถตั้งได้โดยไม่ล้ม ความสูงของผลประมาณ 30 เซนติเมตรรวมขั้วผล เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร เปลือกบาง หนามสั้นค่อนข้างถี่ เมล็ดภายในส่วนใหญ่ลีบเล็กเกือบทั้งหมด แต่ละพูมีความยาวประมาณ 6-7 เซนติเมตร รสชาติหวานมัน เนื้อหนาแน่นมีสีเหลือง ไม่มีเส้นใย ไม่เละ และมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ไม่ฉุน น้ำหนักต่อผลเฉลี่ย 1-2 กิโลกรัม ที่สำคัญทุเรียนสาลิกาพันธุ์ของแท้ดั้งเดิมที่ปลูกในพื้นที่อำเภอกะปง บริเวณตรงกลางแกนเปลือกทุเรียนจะสีคล้ายสนิมแดงทุกผล หากใครซื้อทุเรียนสาลิกาไปปอกรับประทาน ถ้ามีรอยสนิมแดงก็มั่นใจได้เลยว่าได้กินทุเรียนสาลิกาของแท้จากอำเภอกะปงอย่างแน่นอน
นายธีรพงศ์ กล่าวด้วยว่า สภาเกษตรกรจังหวัดพังงาได้ยื่นขอจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (G.I.) สินค้าทุเรียนสาลิกาพังงาตั้งแต่เมื่อปี 2547 และกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศรับขึ้นทะเบียนสินค้าจีไอเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อปลายปี 2561 นับเป็นสินค้าทางการเกษตรชนิดแรกของจังหวัดพังงา
นายอำนวย วัยวัฒน์ เกษตรกรสวนทุเรียนสาลิกา “ลุงอำนวย” อ.กะปง กล่าวว่า ผลผลิตปีนี้ค่อนข้างดีกว่าปีที่ผ่านมา ทางสวนได้เริ่มตัดทุเรียนทยอยส่งให้ลูกค้า ซึ่งมียอดจองมาแล้วกว่า 1,000 ลูก บางรายจองกันมาข้ามปี โดยสวนได้ควบคุมดูแลคุณภาพตั้งแต่เริ่มออกดอก เน้นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ไม่ใช้สารเคมี เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หากผู้สัญจรผ่านพื้นที่อำเภอกะปงในช่วงนี้จะเห็นว่ามีเกษตรกรนำทุเรียนพันธุ์สาลิกาออกมาวางจำหน่ายตามสองข้างทาง มีทั้งประเภททุเรียนหล่นและทุเรียนแบบตัด ทุเรียนหล่นขายกันกิโลกรัมละ 100-180 บาท ทุเรียนตัด 150-300 บาท.-สำนักข่าวไทย