นครศรีธรรมราช 2 ก.ค.-ครูโรงเรียนที่ปรากฏคลิปฉาว “เศษแกงกับวิญญาณฟัก” ในสังคมออนไลน์ นำสื่อพิสูจน์อาหารกลางวันนักเรียน ขณะผู้รับเหมาแจงถูกกลั่นแกล้ง ส่วนผู้อำนวนการโรงเรียนล่าสุดถูกย้ายชั่วคราว พร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง
กรณีมีการแชร์กันในโลกโซเชียลของเพจ “ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน” โพสต์คลิป อาหารกลางวันนักเรียนโรงเรียนเทศบาลแห่งหนึ่ง (เทศบาลวัดมเหยงคณ์) ในอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมระบุว่า “เศษแกงกับวิญญาณฟัก” พร้อมภาพนักเรียนถือจานข้าวเปล่าที่มีข้าวเล็กน้อย ต่อแถวให้คนตักต้มฟักและผักรวมในหม้อใบใหญ่ ซึ่งมีเพียงน้ำต้มกับเศษผักราดน้ำต้มจนเกือบล้นจาน จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์กันอย่างว้างขวาง ไม่คิดว่าโรงเรียนจะจัดเลี้ยงอาหารกลางเด็กนักเรียนด้วยเศษอาหารดังกล่าว และได้เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ซึ่งมีทั้งหมด 9 โรง มีการจัดเลี้ยงอาหารกลางวันนักเรียนแบบเดียวกันหรือไม่
ล่าสุดวันนี้ นายครรชิต มนูญผล รองนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช พร้อมครูอาจารย์นำผู้สื่อข่าวเข้าตรวจสอบโรงเรียนที่ปรากฏภาพในคลิป ซึ่งเป็นช่วงเวลาอาหารเที่ยงพอดี พบว่าอาหารที่นำมาแจกเด็กมีหลากหลายชนิด มากพอสำหรับนักเรียนทั้งหมด ไม่เหมือนในคลิปที่ปรากฏในโลกโซเชียล
นายครรชิตเปิดเผยว่า อาหารกลางวันของนักเรียนโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช มีคณะกรรมตรวจสอบทุกวันอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องปริมาณอาหาร ความสะอาด ตรงตามสัญญาว่าจ้างที่ทางเทศบาลฯ ได้ว่าจ้างผู้รับเหมาอาหารกลางวันนักเรียน ส่วนคลิปที่มีการเผยแพร่ออกไปนั้น อาจะมีเจ้าหน้าที่เวรตักอาหารในแต่ละวัน อาจตักอาหารให้นักเรียนห้องแรก ๆ หนักมือไป ทำให้อาหารไม่พอกับนักเรียนที่มาหลัง ๆ
เบื้องต้นได้เน้นย้ำให้ตักอาหารเฉลี่ยให้นักเรียนปริมาณที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม หลังปรากฏคลิปออกมา ได้มีคำสั่งย้ายผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นการชั่วคราว เพื่อให้ทางคณะกรรมการฯ ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยให้รายงานผลภายใน 7 วัน ผู้รับเหมาทำอาหารกลางวันนักเรียนโรงเรียนสังกัดเทศบาล แจ้งว่า เพิ่งมารับเหมาประกอบอาหารกลางวันนักเรียน ทำตามเมนู และปริมาณตามสัญญาว่าจ้างของเทศบาลฯ ในแต่ละวันจะมีคณะกรรมการฯ มาตรวจสอบทุกครั้ง ส่วนคลิปที่มีการเผยแพร่ในโลกโซเชียลนั้น มองว่ามีคนการถ่ายคลิปเพื่อกลั่นแกล้งตนเอง หรือถูกคู่แข่งทางธุรกิจเจตนาถ่ายคลิปหม้อบรรจุอาหารกลางวันที่ใกล้จะหมดมาเผยแพร่ให้ตนเองเสียชื่อเสียง.-สำนักข่าวไทย