กทม. 2 ก.ค.-ไปฟังมุมมองต่างๆ ของคนในวงการลูกหนังไทยว่าคิดเห็นอย่างไร หลังจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยประกาศแต่งตั้งอากิระ นิชิโนะ อดีตกุนซือทีมชาติญี่ปุ่น คุมทีมช้างศึก
หลังจากอากิระ นิชิโนะ อดีตกุนซือทีมชาติญี่ปุ่น ได้ตอบรับข้อเสนอกับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลชายทีมชาติไทย เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ทำให้นิชิโนะเป็นกุนซือต่างชาติคนที่ 14 และชาติที่ 5 ต่อจากเยอรมนี บราซิล อังกฤษ และเซอร์เบีย และเป็นโค้ชคนแรกที่เป็นชาวเอเชียที่ไม่ใช่คนไทย
ซึ่งจิรัฏฐ์ จันทะเสน เลขาธิการสมาคมประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่งประเทศไทย มองว่าสิ่งแรกที่คนไทยอยากเห็นในการคุมทีมของนิชิโนะ คือการแก้ระเบียบวินัยและสไตล์การเล่น
โดยงานใหญ่ที่รอนิชิโนะอยู่ข้างหน้า 3 รายการใหญ่ คือคุมทีมชาติไทยชุดใหญ่ลุยศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ที่จะมีการจับสลากในวันที่ 17 กรกฎาคม และจะฟาดแข้งแบบเหย้า-เยือน เริ่มวันที่ 5 กันยายน 62 ถึง 9 มิถุนายนปีหน้า
ส่วนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี รายการแรกของนิชิโนะ เตรียมนำทีมป้องกันแชมป์ซีเกมส์ 2019 ที่ฟิลิปปินส์ และเป้าหมายหลักในชุดนี้คือ ทำทีมไปลุยโอลิมปิกเกมส์ 2020 ในศึกชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี รอบสุดท้าย ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนมกราคมปีหน้า
นั่นคือ 3 รายการที่อากิระ นิชิโนะ ต้องพิสูจน์ตัวเองกับทีมช้างศึก แต่ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ อดีตกุนซือทีมชาติไทยของสโมสรชลบุรี เอฟซี มองว่าจากเกียรติประวัติถือว่านิชิโนะเป็นโค้ชที่เก่งและเป็นที่ยอมรับ แต่ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการที่สมาคมฟุตบอลฯ จะให้ทำงานคุมทั้งทีมชาติชุดใหญ่และทีมชุดอายุไม่เกิน 23 ปี เพราะถึงเวลาจริงแล้วจะยุ่งยากในการบริหารจัดการ เห็นว่าควรจะแยกทำเป็นชุดๆ ไปดีกว่า
ส่วน “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย อดีตทีมชาติไทย และสโมสรชลบุรี เอฟซี ที่เคยยิงตามตีเสมอทีมชาติญี่ปุ่น 1-1 ก่อนที่ทีมไทยจะแพ้ 1-4 ในเกมฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย กลุ่ม 2 เมื่อปี 2551 หวังว่าอากิระ นิชิโนะ จะพาทีมชาติไทยประสบความสำเร็จได้ในอนาคต
สำหรับอากิระ นิชิโนะ ได้เดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นเพื่อรีบไปเคลียร์งานที่ค้างไว้ และจะส่งตารางการทำงานมาให้สมาคมฟุตบอลฯ ส่วนระยะเวลาสัญญาและค่าเหนื่อย ไม่มีการเปิดเผย จากนี้แฟนบอลต้องติดตามสไตล์การคุมทีมของอากิระ นิชิโนะ ว่าจะถูกใจหรือจะเนียบแบบฉบับญี่ปุ่นหรือไม่ ที่สำคัญจะนำพาทีมช้างศึกไปได้ไกลแค่ไหนต้องลุ้นกันต่อไป.-สำนักข่าวไทย